ตอนที่ 1 สู่ต้นกำเนิดแม่น้ำคงคา
ธารน้ำสีโคลน
ท่ามกลางหมอกหนาทึบในตอนเช้า ฉันมองเห็นผู้คนเริ่มออกเดินกันตั้งแต่เช้าตรู่ ที่ต่างส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกด้วยความยินดี หนทางสู่โคมุขในช่วงสุดท้ายเต็มไปด้วยกรวดหินที่ถูกกัดเซาะจากธารน้ำแข็ง ทำให้การเดินลำบากยิ่งขึ้น ขณะที่อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ฉันกับมานซิงห์เดินลัดเลาะตามร่องธารน้ำแข็งเก่ามาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษก็มาถึงบริเวณที่ราบเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้ยอดเขา จากบริเวณนี้ อีกนิดเดียวก็จะถึงต้นน้ำแล้ว
และที่นี่เองที่ฉันได้เห็นธารน้ำสีโคลน เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งที่ร่วงมาจากหน้าผา สายน้ำเย็นจัดไหลเซาะไปตามแก่งหิน
ผู้เเสวงบุญมาอาบน้ำชะระมลทิน และตักน้ำกลับไปทำพิธี
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่เห็นผู้คนจำนวนมากลงไปอาบน้ำชำระร่างกายในน้ำเย็นจัด ที่ละลายมาจากธารน้ำแข็ง ความศรัทธาอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ได้
ผู้แสวงบุญบอกฉันว่าพวกเขามาถึงบ้านของเทพเจ้าแล้ว ที่นี่เป็นที่สถิตของพระแม่คงคาและพระศิวะ การได้มาอาบน้ำที่นี่ถือเป็นบุญกุศลสูงสุดในชีวิตและที่ขาดไม่ได้คือน้ำ ทุกๆ คนตั้งใจมาตักน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำกลับไปทำพิธีที่บ้าน
มานซิงห์พาฉันเดินต่อไป จากจุดที่ผู้แสวงบุญอาบน้ำ ข้ามเนินเขาลูกเล็กๆไปอีกไม่ไกลนัก หลังจากที่โผล่ขึ้นมาบนยอดเนิน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ฉันอดตื่นเต้นไม่ได้
ในที่สุดฉันก็ขึ้นมาถึงต้นน้ำคงคาแล้ว ที่นี่แหละคือบริเวณที่เรียกว่าโคมุข ซึ่งแปลว่า ปากวัว (cow’s mouth) ตามลักษณะเป็นปากถ้ำที่แม่น้ำคงคาไหลออกมาจากใต้ธารน้ำแข็ง
ต้นน้ำคงคาละลายจากธารน้ำแข็งที่ดูคล้ายปากถ้ำ คือ โคมุข
ที่เห็นเป็นแผ่นสีฟ้าขนาดมหึมาอยู่ข้างหน้า คือธารน้ำแข็งอายุหลายพันปี มีขนาดใหญ่ กินอาณาบริเวณลึกเข้าไปด้านบนหลายตารางกิโลเมตร
“เห็นปากถ้ำที่น้ำไหลออกมานั้นไหมครับ มันจะเปลี่ยนรูปร่างไปตลอดทั้งปี เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ตามการละลายของน้ำแข็ง คัมภีร์โบราณของชาวฮินดูบอกว่าเมื่อพระแม่คงคาปรากฏออกมาจากโคมุข ก็ไหลวนเวียนติดอยู่ภายในเทือกเขาหิมาลัยนั่นแหละ หาทางออกไม่ได้ ราชาบากิราติต้องมาช่วยหันเหสายน้ำให้เดินทางออกมาสู่แผ่นดินอินเดีย แต่กระแสน้ำก็ยังเชี่ยวกรากและรุนแรงมาก พระศิวะก็เลยเอามาวยผมมารองรับเพื่อลดความแรงลง ทำให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากสายน้ำได้” มานซิงห์เล่าให้ฉันฟัง
จิตใต้สำนึกฉันบอกว่า ต้นกำเนิดแม่น้ำคงคาดูยิ่งใหญ่ ลึกลับ มีพลังที่แฝงตัวอยู่อย่างน่าเกรงขาม
สำหรับความรู้สึกของผู้คนที่นี่ คงท่วมท้นกว่าที่ฉันเป็นอยู่หลายสิบเท่า
โคมุข
ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปกี่พันปีก็ตาม ฉันเห็นแล้วว่าความเชื่อ ความศรัทธาต่อเทพเจ้าผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
สามวันต่อมา ฉันเดินทางกลับลงมายังเมืองหริดาวา ซึ่งเป็นบริเวณที่เชื่อว่าพระศิวะนำมวยผมมารองรับพระแม่คงคาให้บรรเทาความรุนแรงลง หริดาวาจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู เพราะเป็นเมืองพระศิวะ และเป็นเมืองแรกที่แม่น้ำคงคาไหลสู่ที่ราบ
ฉันเดินทางมาถึงที่นี่ในช่วงแห่งการแสวงบุญพอดี ในเมืองจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนนับหมื่น
ผู้จาริกแสวงบุญที่ได้น้ำคงคามาจากโคมุข ส่วนใหญ่จะต้องเดินทางมาหริดาวา เพื่อทำพิธีบูชาพระศิวะและแม่น้ำคงคา
พิธีคงคาอารตี หรือการบูชาพระแม่คงคาด้วยไฟที่หริดาวาในคืนนี้ยิ่งใหญ่มาก ดวงไฟในกระทงดอกไม้ลอยระยิบระยับเต็มลำน้ำ ท่ามกลางเสียงเพลงสวดที่ดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ เป็นบรรยากาศที่อบอวลด้วยมนตร์ขลัง และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
รุ่งเช้าเหล่าผู้แสวงบุญจะนำน้ำที่ได้มาจากต้นน้ำศักดิ์สิทธิ์มาใส่หาบที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ตั้งขบวนแห่ เฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก ก่อนที่จะแยกย้ายขบวนเดินทางกลับไปประกอบพิธียังหมู่บ้านของพวกเขา
หลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันได้เห็นจากการเดินทางไปต้นน้ำคงคา ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ บนแผ่นดินอินเดียก็ตาม แต่ก็ทำให้ได้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ความเชื่อและวัฒนธรรมดั้งเดิมของศาสนาพราหมณ์นั้นแข็งแกร่ง และฝังรากลึกจนยากที่จะมีลัทธิความเชื่ออื่นใดเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้
แต่แล้วเหตุใด ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์อินเดีย ศาสนาพุทธ ซึ่งมีแนวคิดสวนกระแสกับความเชื่อดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง จึงสามารถแทรกเข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้คนยุคนั้นได้ เป็นคำถามที่ท้าทายการเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าของพวกเราในครั้งนี้
ที่มา จากหนังสือ "ตามรอยพระพุทธเจ้า"
|