|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ท่องนรกและสวรรค์ ของเด็กหญิงลัดดา อินทรวิจิตร เล่าโดย จ.ส.ต. ผาด จูงใจ
ด.ญ. ลัดดา อินทรวิจิตร อายุ ๑๒ ขวบ เธออยู่ในวัยอ่อนโลก ไม่เคยอ่านคัมภีร์มาลัยสูตรมาก่อน บิดามารดาเป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร ชื่อนายยวน-นางเติม ได้ยก ด.ญ.ลัดดาให้อยู่ในความอุปการะของสองตายายวัยชราที่ ด.ญลัดดาเคารพนับถือในฐานะเป็นปู่และย่า คือ จ.ส.ต.ผาด-นางวงค์ จูงใจ บ้านเลขที่ ๑๔ ตรอกพญาไม้ จ.ธนบุรี เพราะสองตายายเป็นคนใจบุญสุนทาน ด.ญ.ลัดดาได้รับการอบรมสั่งสอน
ให้รู้จักทำบุญทำทานอย่างเข้มงวดกวดขัน เธอต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด ช่วยสองสามีภรรยาหุงข้าวใส่บาตร เสร็จแล้วนำหนังสือไปถวายพระที่วัดประยุรวงศาวาสใกล้ๆ บ้าน แล้วกลับมาขุนสุนัขและเลี้ยงแมว เอาข้าวสารไปโปรยเลี้ยงนกตามที่ต่างๆ แล้ว จึงจะไปประกอบธุระอย่างอื่นได้
ด.ญ.ลัดดาเธอได้ปฏิบัติเป็นประจำ ติดต่อกันมาเป็นเวลา ๖-๗ ปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อเวลา ๐๕.๐๐ น. ของวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๐๐ เธอเกิดนอนหลับแล้วไม่ตื่น นางวงค์จะปลุกด้วยวิธีใดๆ ก็นอนเงียบ เมื่อสัมผัสเนื้อตัวดูจะเย็นชืด อ่อนปวกเปียก จึงได้เอะอะกันขึ้น จ.ส.ต. ผาดจึงเอามืออังดูก็ไม่มีลมหายใจ เพียงแต่เห็นที่ลำคอเต้นตุบๆ อย่างแผ่วเบา จึงรีบนำตัวส่งให้แพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชทำการรักษาพยาบาล
ขั้นแรก นายแพทย์ลงความเห็นว่ากินยาตาย เมื่อได้ตรวจอาการแล้วและพิสูจน์โดยละเอียดพบว่าไม่ใช่กินยาตาย จึงพยายามเยียวยารักษาอย่างเต็มความสามารถ จน ด.ญ. ลัดดาฟื้นขึ้นมาเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. อาการแรกที่ฟื้นขึ้นมา เธอร้องออกมาว่า “หนูกลัวแล้ว หนูกลัวแล้ว อย่าทำหนูเลย” พร้อมทั้งมีอาการสั่นด้วยความกลัว จ.ส.ต. ผาด ซึ่งเป็นปู่ ได้พูดปลอบโยนจนหายความหวาดกลัว เวลาล่วงไปประมาณ ๑๕.๐๐ น. แพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ด.ญ.ลัดดาจึงได้เล่าประสบการณ์ในระหว่างนอนหลับแล้วไม่ตื่นให้พระปลัดสุจน์ คงเพียรธรรม คณะ ๙ วัดประยุรวงศาวาส และ จ.ส.ต. ผาด-นางวงค์ จูงใจ ฟังอย่างตื่นเต้นและน่าสนใจยิ่ง
จากคำบอกเล่าของพระครูปลัดสุพจน์ จ.ส.ต. ผาด-นางวงค์ จูงใจ ด.ญ. ลัดดาเธอเล่าว่า ขณะเธอนอนหลับอยู่ในคืนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๐ ได้มีผู้ชาย ๔-๕ คน รูปร่างใหญ่โตมือถือกระบอง หัวมีเขา ๒ เขา โพกผ้าแดง เข้ามาทางหน้าต่าง แล้วตรงเข้ามาบีบคอ อุ้มเธอออกไปทางช่องหน้าต่าง เธอตะโกนเรียกให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยินเสียง
เมื่อพ้นออกจากบ้านแล้ว เธอถูกบังคับให้เดินไปในทางที่ไม่เคยผ่าน เห็นต้นไม้ประหลาดขึ้นอยู่มากมาย ต้นไม้นั้นมีหนามแหลมคมเต็มไปหมดทั้งต้น มีคนทั้งผู้หญิงและผู้ชายเปลือยกายปีนป่ายอยู่ยั้วเยี้ย ถูกหนามแหลมคมแทงเลือดไหลโทรมกาย คนไหนกลัวเจ็บไม่ยอมขึ้น ก็จะมีคนข้างล่างคอยเอาหอกแทงก้นบังคับให้ปีนขึ้นไป พอขึ้นไปสูงๆ ก็มีนกตัวใหญ่ปากเหล็กแหลมคมบินมาจิกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ เสียงร้องครวญครางระงมไปหมด เดินต่อไป เห็นผู้ชายผู้หญิงหลายคนถูกมัดมือยืนอยู่ บนหัวมีกงจักรพัดเลือดไหลอาบ ศีรษะขาดกระจุยกระจาย น่าหวาดเสียว
เธอแข็งใจถามคนที่คุมตัวมา ก็ได้รับคำตอบว่า คนพวกนี้ เมื่อเป็นมนุษย์ทำผิดศีลกาเมฯ เป็นคนเนรคุณและทารุณกับพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จึงถูกลงโทษอย่างนี้
เดินต่อไปได้พบศาลาหลังหนึ่ง มีสตรียืนอยู่หลายคน กำลังใช้มือกำผ้าอ้อมทุบตัวเองจนเลือดไหลโกรก ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ผู้คุมบอกว่า ผู้หญิงพวกนี้ทำบาปกรรมที่รีดลูกและทารุณกรรมกับลูกเลี้ยงเมื่อชาติก่อน
เดินต่อไปพบปู่แท้ๆ ของเธอชื่อนายวาด ถูกผูกมัดไว้ ไม่ได้นุ่งผ้า มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มเน่าเฟะทั้งตัว นายวาดบอกกับเธอว่า เมื่อปู่มีชีวิตอยู่ ได้รังแกคนและสัตว์มากมาย จึงได้มาถูกลงโทษทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ ด.ญ. ลัดดาพยายามจะช่วยปู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ต้องเดินไปอีก
ต่อมาได้พบเจ๊กขายปลาที่ตลาดนกกระจอก (ตลาดข้างบ้านตรอกพญาไม้) เห็นกำลังถูกมัดให้นอนอยู่ ที่หัวถูกผ่าออกเป็น ๒ ซีก ซูบผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก ได้พบกระทะใบใหญ่มีน้ำร้อนเดือดพล่านแต่ไม่มีไฟ ได้เห็นคนถูกต้มเคี่ยวอยู่หลายคน ส่งเสียงร้องครวญครางน่าเวทนาอยู่ตลอดเวลา นอกจากบุคคลเหล่านี้ซึ่งถูกลงโทษทรมานอยู่กลางแจ้งแล้ว สองขางทางยังเป็นภูเขายาวเหยียด ภูเขาเหล่านี้มีถ้ำเต็มไปหมด และในถ้ำมีผู้คนถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ
ด.ญ.ลัดดา อินทรวิจิตร เล่าต่อไปว่า เมื่อพ้นจากแดนทรมานอันน่าหวาดเสียวไปแล้ว ก็ถึงสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง มีสำรับจัดอย่างดีตั้ง ไว้สองฟากทาง ยาวเหยียดสุดสายตา ทั้งถาดและถ้วยชามล้วนทำด้วยทองคำ ผู้นำทางถามว่าหนูอยากกินไหม เธอตอบว่าอยากกิน เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของหนูทั้งสิ้น จำได้หรือไม่ว่าได้ร่วมทำบุญมากับคุณปู่-ย่า
(คือ จ.ส.ต. ผาด-นางวงค์) จึงเข้าไปเปิดถ้วยชาม เห็นอาหารแต่ละอย่างร้อนควันกรุ่น หอมน่ากินมาก จึงหยิบกินเสียจนอิ่ม และมีที่ไม่ร้อนอยู่อย่างเดียวคือน้ำส้มคั้น ดื่มแล้วหวานชื่นใจนัก จากนั้นพบข้าวสารในตุ่มแก้ว เมล็ดโตๆ งามๆ และพบหัวเป็ดหัวไก่ ข้าวคลุกเนื้อปลาอยู่ในอ่างทองคำ จำได้ว่าของเหล่านี้คืออาหารเลี้ยงสุนัขและแมวนั่นเอง นอกจากนั้นยังพบหนังสือพิมพ์ที่เคยเอาไปถวายพระเก็บไว้เป็นตั้งๆ มากมาย
พ้นจากสถานที่เก็บอาหารทำบุญมาแล้ว มาถึงกำแพงขนาดใหญ่พบพระสงฆ์รูปหนึ่งยืนอยู่ พระสงฆ์รูปนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนพระพุทธรูปที่เคยกราบไหว้ที่บ้าน พระถามว่า “โยมจะพาเด็กคนนี้ไปไหน จงนำเขากลับไปบ้านเสียเถิด เอามาผิดตัว เป็นคนละคนกัน แต่ชื่อเดียวกัน” พร้อมกับหันมาพูดกับ ด.ญ.ลัดดาว่า “จำไว้นะหนู ต่อไปนี้ความชั่ว ความบาปอย่าทำ” จากนั้น คนนำพาจะให้เธอกระโดดลงไปในแม่น้ำกว้างที่ขวางหน้าอยู่ พระภิกษุจึงกล่าวว่า “ไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ พาเขามาอย่างไร ก็พาเขากลับไปอย่างนั้นสิ” คนนำพาจึงพาขึ้นบนหลังนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินขึ้นไปบนอากาศ
ด.ญ.ลัดดาเล่าว่า นกตัวนั้นเหมือนกับรูปหงส์ตามวัด มีปีกและขนเป็นทองคำทั้งตัว ขณะบินอยู่กลางอากาศ พบเห็นผู้หญิงผู้ชายแต่งตัวสวยมาก และแลเห็นบ้านเรือนสวยๆ งามๆ เป็นจำนวนมากมายลอย อยู่กลางอากาศ บรรดาผู้หญิงสวยๆ เหล่านั้น เมื่อเห็นเด็กหญิงลัดดาผ่านไป ก็โบกมือทักทายและกล่าวว่า “หนู แล้วมาเที่ยวใหม่นะจ๊ะ” นกหงส์ บินมาสักพักใหญ่ๆ ก็ร่อนลงตรงหน้าบ้าน คนนำพาบอกว่า “เอ้าถึงแล้ว” เธอจึงลงจากหลังนกตัวใหญ่และวิ่งเข้าบ้านปากก็ร้องว่า “หนูกลัวแล้ว อย่าทำหนูเลย” ต่อจากนั้นเธอก็ฟื้นที่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่บ้าน ตามที่คนนำพามาส่งไว้ คนนำพามาส่งกายทิพย์ของ ด.ญ.ลัดดา มาเข้าเรือนคือร่างกายอันเป็นเปลือกนอก แล้วเธอก็ฟื้นรู้สึกตัว
บัณฑิตพิจารณาด้วยปัญญาก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจในกฎแห่งกรรม
“คนทำดีย่อมได้รับผลดีและคนทำชั่วย่อมได้รับผลชั่วอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย”
อย่าดูหมิ่น บุญกรรม จำนวนน้อย
จะไม่ด้อย ตามต้อง สนองผล
แม้ตุ่มน้ำ เปิดหงาย รับสายชล
ยังเต็มล้น ด้วยอุทก ที่ตกลง
|
|