|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวเมืองนรก ของครูบุญชู ศรีผ่อง อดีตครูโรงเรียนวัดจุฬามณี (วัดมงคลธรรมนิมิต)
วันนั้นเป็นวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ ข้าพเจ้าได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้า คือ เป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ตำบลสามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิต) อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็ก และประกอบกับความง่วงที่ผิดปกติ ซึ่งข้าพเจ้าก็มิได้ไปอดนอนที่ไหนมา แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ ทำให้ข้าพเจ้าง่วงนอนมาก อยากจะหลับอยู่เสมอในวันนั้น ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าไม่เป็นปกติ แต่ข้าพเจ้าก็ต้องจำทนสอนเด็กต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกทำการสอน
พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินมาบ้านซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียน ๓ เส้นเศษ ข้าพเจ้ามาถึงบ้านก็เริ่มผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือ หุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำตนเองและบุตร ๒ คน
ในขณะนั้นเวลา ๑๖.๓๐ น. ต่อมาข้าพเจ้าเผลอหลับไปเมื่อไรไม่ทราบ มารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวของข้าพเจ้ามายืนอยู่ใต้ร่มต้นไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก มองดูสวยงามมาก แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าที่ยืนอยู่นี้เป็นที่ใด ข้าพเจ้ามองดูรอบตัวของข้าพเจ้า บังเอิญสายตาของข้าพเจ้าก็มองไปพบถนนสายหนึ่งยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ ข้าพเจ้ายกเท้าจะขึ้นเดินไปเที่ยวถนนสายนั้น แต่ยังไม่ทัน ที่เท้าของข้าพเจ้าจะถูกถนน ข้าพเจ้าก็สะดุ้งเพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังกังวานเหลือเกิน เสียงดังคล้ายตวาด เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหน้าของข้าพเจ้าว่า
“อ้อ บุญชู เหมาะเลย มาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว” ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น บอกเขาว่าไม่ไปหรอก พร้อมผละออกวิ่งหนีทันที แต่ชายสี่คนที่มารับก็เดินมาและพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้นะ” ข้าพเจ้าก็หันไปบอกเขาว่า “ลุงไปบอกกับนายเถิดว่าฉันผลัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปหรอก” แต่เขาก็ตอบมาว่า “ผลัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผลัดเอง” เมื่อหมดหนทางเลี่ยง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อน ฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะมาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้”
แล้วข้าพเจ้าก็เดินมาหน้าบ้านและเดินเข้ารั้วบ้าน ขึ้นบันไดไปก็พบบนบ้านสว่างไสวไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุและมีชาวบ้านมานั่งอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ข้าพเจ้าขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่ตรงข้างๆ หมอ ข้าพเจ้าเสียหลักสะดุดเสื่อล้มลงไป
เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นมานั่งอยู่บนบ้าน ผู้คนที่อยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าต่างพากันถอยหลังหนี ไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมด และต่างชิงกันถามว่า “ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ” ข้าพเจ้าก็บอกพวกนั้นว่า “อย่ากลัวฉันเลย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แล้วก็ต้องไป เพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันยังไม่อยากตาย ขอผลัดเขา เขาไม่ยอม เขาบอกให้ผลัดกับยมบาลเอง ฉันจึงต้องไป และฉัน ขอร้องทุกๆ คนด้วยว่า ขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน ถ้าฉันไม่กลับ หมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อยจัดการเผา”
พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “โน่น เขาเร่งมาแล้ว ฉันไปละ ลาก่อนทุกๆ คน” นายเจ๊กที่เป็นหมอจึงเอาธูปเทียนมาให้ข้าพเจ้าและบอก “พระอรหัง พระอรหัง” ตอนนี้ข้าพเจ้าเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำพระอรหังได้เพียง ๒ ครั้งก็หมดสติวูบไป มารู้สึกตัวว่าตัวของข้าพเจ้าเองได้มาเดินบนถนนสายนั้นเสียแล้ว
ระยะที่ข้าพเจ้าฟื้นและตายไปใหม่นี้ คือ ฟื้นมาตอน ๒๒.๐๐ น. และตายใหม่ประมาณ ๒๒.๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้น ข้าพเจ้าอยู่ ตรงกลาง มีคนเดินขนาบข้าง ๒ คน และอยู่ด้านหน้า ๑ คน เดินมาพักใหญ่จึงพบโต๊ะตั้งอยู่ข้างทางเดิน มีอาหารหลายชนิดตั้งวางอยู่บนโต๊ะ มีสุรา ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยา และขนมอีกหลายชนิด คนทั้ง ๔ เดิน ตรงไปที่โต๊ะ และเรียกข้าพเจ้าว่า “บุญชู ยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียสิ” ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า “ของๆ ใครนี่ เรามากินของๆ เขา เขาจะไม่ว่าเอาหรือ” คนที่มีท่าว่าจะเป็นหัวหน้าบอกข้าพเจ้าว่า “ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเขาเซ่นผีไว้ อีก ๒ วัน ข้าจะกลับมาเอา”
ข้าพเจ้าถามว่าบ้านใครเล่า เขาบอกว่า “บ้านนางหล่ำ หัวตะพาน เขาทำบุญต่ออายุได้อีก ๒ วัน แล้วข้าจะมาเอาตัวไป” ข้าพเจ้ามองตาม มือ ก็เห็นบ้านหลังนั้นอยู่ข้างๆ บ้านหนึ่ง มีลูกกรงสีเขียว
ต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ ก็พบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนน ต่างไชโยโห่ร้องต้อนรับข้าพเจ้า และร้องบอกกันว่า “พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย” ข้าพเจ้าบอกกับพวกเขา “ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก” พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย จากพวกนี้ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกไม้นั้น สวยงามมาก เป็นทองคำทั้งดอก ใบสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ข้าพเจ้าเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย
ต่อจากนั้นมีบ้านหลังเล็กๆ เป็นแถว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัย เพราะน้อยบ้านนักที่จะมีคน ๒-๓ คน โดยมากบ้านละ ๑ คน บางบ้านมีคนอยู่อาศัยใต้ถุนเต็มไปหมด ข้าพเจ้าถามก็ได้ความว่า ที่บ้านมีคนอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เกี่ยวกับการทำบุญของแต่ละบุคคล บางคนทำบุญไว้ดีก็ได้อยู่บ้านที่สวยงาม บางคนร่วมกันทำบุญ สร้างด้วยกัน ทำพร้อมกัน ก็ได้ไปอยู่อาศัยบ้านเดียวกัน บางคนทำบุญแต่ก่อน ทำโดยไม่ตั้งใจจะทำ ก็ได้ ไปอาศัยใต้ถุนเขาอยู่
ต่อจากบ้านที่มีเรียงรายไปอีกไกล เดินไปพักใหญ่ก็พบลานกว้างใหญ่ มีต้นไทรใหญ่ขนาด ๒๐ คนโอบ มีแท่นหินและโต๊ะหินอยู่ในโคนต้นไทร มีชายคนหนึ่ง รูปร่างใหญ่โต ผมหยิก ตาพอง นั่งอยู่บนแท่นหินนั้น ชายทั้ง ๔ คนและข้าพเจ้าเดินมาถึงตรงนี้ก็ถูกเรียกว่า “เฮ้ย พามาตรงนี้สิ ถามไถ่กันดูก่อน อีนี่ดื้อนัก เรียกไม่ค่อยจะมา” ข้าพเจ้าและชาย ๔ คน เดินมายืนหยุดตรงหน้า พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นดู ก็รู้สึกดีใจว่ายมบาลคนนี้รูปร่างเหมือน นายเชย สิงมี ผู้ใหญ่บ้านที่ข้าพเจ้ารู้จัก จึงถามว่า “อ้าว ตาเชย มาเมื่อไหร่เล่า” แต่ถูกตวาดว่า “เชยๆ อะไร เอ็งรู้จักข้ามาตั้งแต่เมื่อไรเล่า” ทำเอาข้าพเจ้าเงียบเสียงทันที แต่ยังนึกสงสัยว่า คล้ายกับ จะเป็นลูกฝาแฝดกันเลยทีเดียว แต่ยมบาลตัวใหญ่มาก ข้าพเจ้าจะพูดกับยมบาลก็ต้องแหงนหน้าดู ข้าพเจ้าไปยืนอยู่ตรงหน้า คล้ายกับเอาลูกหนูไปยืนอยู่ตรงหน้าวัวตัวเขื่องๆ ทีเดียว
ต่อไปยมบาลถามข้าพเจ้าว่า “เอ็งทำไมดื้อนัก ข้าให้คนไปรับยัง วิ่งหนี” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ฉันห่วงลูก เพราะลูกยังเล็กอยู่” คราวนี้ยมบาลสะดุ้งทันที ร้องว่า “อ้าว พวกมึงทำไมทำระยำอย่างนี้เล่า ผิดตัวเสียแล้ว อีนั่นมันยังไม่มีลูกนี่หว่า” เสร็จแล้วก็ไปพลิกบัญชีดูและบอกว่า “อีคนนั้นชื่อ บุญชู จิตรทอง บ้านต้นโพธิ์ หมู่ที่ ๑ จังหวัดสิงห์ ตายเวลาตีหนึ่งครึ่ง เป็นไข้ทับระดูตาย อีนี่ตายตั้งแต่ห้าโมงเย็น เป็นลมตาย ไม่ใช่ผิดตัว และจัดแจงไปเอาตัวอีคนนั้นมา”
พอ ๔ คนนั้นเตรียมตัวไป ยมบาลหันมาบอกข้าพเจ้าว่า “จะดูอะไรก็ดูเสีย ประเดี๋ยวจะให้เขาเอากลับไปส่ง” ข้าพเจ้าจึงเดินดู เห็นทนายศิริกำลังขึ้นต้นงิ้ว ต้นงิ้วน่ากลัวมาก คือสูงมองเห็นยอดลิบๆ หนามไม่ยาว แต่พอขึ้นไป หนามยาวออกมาเองได้ แทงทะลุท้องทะลุอกมาตายอยู่กับหนาม เขาก็เอาคีมเหล็กจับตรงเอวดึงออกมาวางตรงโคนต้น เอาน้ำในโอ่งมาราด แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก จะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ เพราะใต้ต้นงิ้วก็มีทหารถือหอกคอยแทง ข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ารู้จักชื่อ ชื่อม้วน ขึ้นต้นงิ้ว จึงได้ถามเขาว่า “เอ๊ะ ผู้หญิงก็มีขึ้นต้นงิ้วด้วยหรือ” เขากล่าวว่า “ทำไมเล่า มันนอกใจผัว ไปเป็นชู้กับตาหอม” ต่างก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เช่นนั้น
ข้าพเจ้ายังได้พบชายอีกคนหนึ่ง ชื่อนายเปรื่อง ถูกตัดมือด้วนกุดหมด ถามเขาได้ความว่า นายเปรื่องชอบยิงนกในเขตวัดเสมอ เห็นคนเคยทุบหัวควายก็ถูกล่ามโซ่และถูกเชือดเนื้อ เสียงร้องอู้ๆ น่ากลัวมาก ข้าพเจ้ามองดูด้วยความหวาดเสียว
พอข้าพเจ้าเดินดูต่อไปอีก ก็ได้ยินเสียงยมบาลบอกกับข้าพเจ้าว่า “บุญชู หิวข้าวก็ไปกินสิ ของเราอยู่โน่น” ข้าพเจ้าจึงเดินไปดู เห็นโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง มีของเกือบเต็มโต๊ะ มีขันข้าวซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่าขันลูกนี้เคยใส่ข้าวใส่บาตร ข้าวยังเต็มขันและมีควันร้อนขึ้นฉุยอยู่ ทั้งๆ ที่ขันลูกนี้ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยู่บ้านของข้าพเจ้า หม้อแกง ถ้วยชาม ถาด ที่ข้าพเจ้าได้พบที่นี่ ก็ยังอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีน้ำขวดตั้งโต๊ะอยู่ ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่า “เอ๊ะ ของฉันทำไมมีน้ำครึ่งขวดเท่านั้นเล่า และ บางโต๊ะทำไมไม่มี” เขาบอกว่า “พวกเมืองมนุษย์แย่เต็มที มันไปทำบุญมันเอาข้าวกับขนมไปทำเท่านั้น มันไม่เอาน้ำไปทำบุญ มันจึงต้องอดน้ำ” ข้าพเจ้าจึงถามวิธีทำบุญด้วยน้ำ ก็ได้ความว่า
“ให้เอาน้ำใส่ขวดหรือขันที่ตั้งอยู่หน้าพระสงฆ์ เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว จึงกรวดน้ำที่ตนนำมาแผ่อุทิศกุศลต่อไป น้ำที่นำไปใส่ขวดหรือขันนี่แหละจึงจะได้กินน้ำ” ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า “ฉันได้กลับไปโลกมนุษย์จะได้บอกพวกชาวบ้าน”
เมื่อข้าพเจ้าเดินออกมาตรงโต๊ะอาหาร ยมบาลก็โยนบัญชีมาให้ข้าพเจ้าดู ในบัญชีนั้นมีตัวหนังสือใหญ่ๆ แผ่นกระดาษใหญ่เท่ากับแผ่นกระดานดำที่สอนเด็กนักเรียน ข้าพเจ้ามองดูมีชื่อคนเป็นจำนวนมาก แต่ข้าพเจ้าพยายามจำคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก ข้าพเจ้าจดจำมาได้ดังนี้
๑.บุญชู จิตรทอง ไข้ทับระดู ตีหนึ่งครึ่ง ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
๒.นางหล่ำ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕
๓.นายฉาย ๙ มีนาคม ๒๔๙๕
๔.นายแม่น ๔ กรกฎาคม ๒๔๙๕
๕.นายปลอด อีก ๒ ปี ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗
ข้าพเจ้าขอเปิดบัญชีดูอีก แต่เขาไม่ยอมให้เปิด เขาบอกว่า “เอ็งหมดสิทธิที่จะเปิดแล้ว เอ็งเป็นคนใจบุญ เปิดดูอีกไม่ได้หรอก เดี๋ยวเอ็ง ไปเที่ยวบอกเขาหมด เมื่อก่อนนี้เอ็งเป็นคนทำบัญชีให้ข้า ข้าคิดถึงเอ็ง อีก ๕ ปี ข้าจะให้คนไปรับ เพราะเอ็งจะลำบากอีกมาก” ข้าพเจ้าบอกว่า “อีก ๕ ปี ฉันไม่มาหรอก” ยมบาลหัวเราะแล้วพูดว่า “เอ็งอยากลำบากก็ตามใจเอ็ง แต่ถ้าเอ็งไม่อยากมา เอ็งต้องบวชลูกให้ข้า ข้าก็ไม่ไปรับเอ็ง แล้วข้าจะให้คาถาเอ็งไว้ป้องกันตัวบทหนึ่ง เอ็งพยายามท่องอยู่เสมอ
อันตรายและความยากลำบากจะลดน้อยลงไป คาถานี้เอ็งบอกให้ทั่วๆ ไปเถิด เอาบุญเพราะต่อๆ ไปในเมืองมนุษย์จะยุ่งกันใหญ่ เอ็งคอยจำเอาไว้นะ ข้าจะบอกให้” แล้วเขาบอกว่า “ก่อนท่องคาถา ตั้งนะโม ๓ จบก่อน แล้วท่องก่อนจะลงจากเรือนหรือก่อนจะนอน ท่องอยู่เสมอๆ จะคอยคุ้มครองเอ็งได้”
คาถาว่าดังนี้
“ปะโต เมตัง ปะระชีวินัง สุขะโต จุติ จิตตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ”
ข้าพเจ้าจดจำไว้เพื่อไปบอกในโลกมนุษย์ต่อไป เป็นที่น่าแปลกว่าข้าพเจ้าได้ฟังครั้งเดียวก็จำได้
และพอดีเขานำ น.ส. บุญชู จิตรทอง มา น.ส. บุญชู คนนั้นกับข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนกันมาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงยมบาลดุบุญชูว่า “เอ็งนี่จะตายแล้วยังก่อเวร ไปลักพุทราเขากิน ผิดสำแดงพุทราจึงตาย” แล้วสั่งให้ตีบุญชู ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวจริงๆ เพราะการทรมานต่างๆ ของขุมนรกนี้เป็นที่น่าหวาดเสียวมาก เมื่อบุญชูคนโน้นถูกตีด้วยหวายแล้ว ยมบาลก็สั่งให้ชายทั้ง ๔ คนนำข้าพเจ้ามาส่ง
เดินมาในระหว่างทาง ชายคนหนึ่งมีท่าทางคล้ายกับเป็นหัวหน้าได้พูดเตือนข้าพเจ้าว่า “อย่าลืมนะ อีก ๕ ปีเอ็งจะต้องบวชลูกให้พวกข้า” ข้าพเจ้าจะรับคำ แต่แล้วก็ต้องเดินห่างออกจากแก เพราะเวลาแกพูดมีหนอนร่วงออกมาจากปาก ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า “ลุงจ๋า ลุงชื่ออะไร ทำไมลุงถึงเป็นอย่างนี้” แกบอกว่า “ข้าชื่อเอื้อม คนดอนรัก (คนในตำบลดอนรัก) ไปถามดูเถิด มีคนรู้จัก ลูกข้าชื่อไอ้เจือ เมื่อก่อนข้าเลี้ยงช้าง ได้เงินค่าเลี้ยงเดือนละ ๑ ตำลึง เงินเหลือข้าก็ซื้อเหล้ากิน ผลแห่งการซื้อเหล้ากินนี่แหละ หนอนจึงกินปากข้า” พอมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าเข้าบ้านไม่ได้ เพราะถูกซัดข้าวสารไว้ จนกระทั่งลุงเอื้อมแกจับข้าพเจ้าเหวี่ยงโครมขึ้นมาบนบ้าน ทำให้เรือนไหวยวบ คนตกใจหนีกันหมด เหลือแต่ลูกสาวของข้าพเจ้า อายุได้ ๔ ปี นั่งอยู่และถามข้าพเจ้าว่า
“แม่ แม่ไม่ตายหรือ” พอบอกว่า “ไม่ตายหรอก” จึงได้เรียกคนขึ้นมาบนบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึก ใจหาย เพราะตอนที่ฟื้นมา เป็นเวลา ๐๘.๐๕ น. เศษ และต่อโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกชาวบ้านและพระสงฆ์ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง และข้าพเจ้าได้ถามถึงลุงเอื้อม ก็ได้ความว่าเป็นพี่ชายของนายทันผู้ใหญ่บ้าน และตายไปนาน ๓๐ ปีแล้ว ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชี ข้าพเจ้าได้เล่าให้ชาวบ้านและพระสงฆ์ฟังจนหมด และต่อมาเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ นางหล่ำตาย วันที่ ๙ มีนาคม นายฉายตาย วันที่ ๔ กรกฎาคม นายแม่นตาย คน สุดท้ายคือนายปลอด กำหนด ๒ ปีจะตาย พอครบ ๒ ปีก็ตายจริง นายปลอด ก่อนแกตาย ไปเที่ยวละลายหัวคันนาที่แกเคยรุกเอาของเขามาคืนให้เจ้าของเขาหมด ตายไปกลัวจะได้แบกดินแท่งใหญ่แทบล้มแทบตาย จะเอาลงก็เอาลงไม่ได้ เพราะบาปรุกเอาโกงเอาที่ดินของเขา ปากก็ร้องว่า ที่ดินของใครเอาไปเถอะ ฉันไม่อยากได้แล้ว
ต่อมาชายคนหนึ่งทางห้วยคันแหลมได้สั่งบุตรหลานเอาไว้ว่า “กูตายไปแล้วละก็ เอาขวานใส่โลงไปให้กูด้วย กูจะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว” พอตาย ลูกหลานก็เอาขวานใส่โลงไปให้จริงๆ ต่อมาแกกลับมาเข้าทรงเด็กๆ ให้ไปขุดเอาขวานขึ้นมาเสีย แกบอกว่า “ไม่ไหวละ แทนที่จะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว กลับถูกเขาเอาขวานทุบหัวเสียอีกด้วยซิ” ในที่สุด พวกลูกๆ ต้องไปขุดเอาขวานขึ้น
|
|