การบำเพ็ญศีล ตอน ๖

ภาวนาพุทโธ

เวลาเรานั่งสมาธิภาวนาพุทโธอยู่ จงรวมจิตใจเข้าหาภายใน อย่าได้ไปตามสังขาร วิญญาณ กิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ ไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นชื่อว่าตัณหาในจิตใจมนุษย์และสัตวโลกทั้งหลายแล้วไม่มีเมืองพอ ไม่มีเมืองเต็ม มีแต่บกพร่องอยู่เสมอ พระพุทธองค์ท่านว่า ใครทำไปตาม พูดไปตาม คิดไปตาม อยากไปตามอำนาจตัณหาแล้วจะไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ใดมาเลิก ละ ปล่อยวาง เอาใจดวงเดียวให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา นั่งก็เอาใจดวงเดียวภาวนาอย่างนี้แหละ รักษาใจดวงเดียวภาวนาอย่างนี้แหละ รักษาใจดวงเดียวไม่ต้องมาก ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่ต้องวุ่นวายอะไร เอาใจดวงเดียวของเราให้ได้ ในเวลาเดินไปก็ให้มีสติภาวนาในใจ ระมัดระวังทั้งภายในและภายนอก นั่งธรรมดาก็ให้ระลึกอยู่ภายในใจตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ยังไม่หลับก็ให้ฝึกภาวนาอยู่ในอยู่ในดวงจิตดวงใจของตน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่ยุ่งกังวลอยู่กับฝันดีฝันร้าย เป็นธรรมดาของการนอนหลับก็ย่อมมีฝันเหมือนคนเราเมื่อยังไม่หลับก็มีความคิด ความฝันกับความคิดก็เหมือนๆ กัน ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ทั้งกลางวันกลางคืน ทุกอิริยาบถทุกเวลาเราภาวนาได้

เมื่อภาวนาได้ย่อมมีเวลาสงบระงับ เย็นสบาย ตั้งมั่นลงไปได้ในหัวใจของแต่ละบุคคล เพราะว่าจิตใจของคนเรานี้อาศัยตัวเองเป็นเครื่องนำพา คือว่านำพาไปในทางใดก็ย่อมเป็นในทางนั้น เมื่อเรานำพาในการรักษาศีล บำเพ็ญทาน ภาวนา ไหว้พระ สดับรับฟังพระธรรมคำสั่งสอน รวมจิตใจของตนเข้ามาภายใน เมื่อพยายามทำอยู่อย่างนี้ไม่ว่าวันไหน คืนไหน เวลาไหน วิธีการใดที่จะยังจิตใจของเราให้มีความสงบแล้ว ก็ให้พยายามรวบรวมกำลังจิตใจของตนเข้ามาภายในนี้ เรื่องภายนอกนั้นให้ยุติไว้เสียก่อน เราไม่ต้องไปจัดแจงอะไรทั้งหมด จัดแจงดวงใจของเราให้รำลึก ให้มีสติภายในใจที่รู้อยู่นี้ ให้มีสติตั้งมั่นอยู่ที่นี้ ให้มีปัญญาความรู้ เมื่อรู้จักรวบรวมจิตใจเข้ามาตั้งภายในดวงจิตดวงใจอย่างนี้แล้ว เราจะเห็นได้ทีเดียวว่า แท้ที่จริงทางแห่งพระพุทธศาสนานี้อยู่ที่จิตใจสงบ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าความสงบ เมื่อจิตใจสงบแล้วอะไรๆ ก็พอหมด ถ้าจิตฟุ้งซ่านรำคาญจะไม่พอ ตาก็ไม่พอในการดูรูป หูก็ไม่พอในการฟังเสียง จมูกก็ไม่พอในการดมกลิ่น ลิ้นก็ไม่พอในการลิ้มรส กายก็ไม่พอในโผฏฐัพพะสัมผัส จิตก็ไม่พอในธรรมารมณ์ นั่นคือจิตไม่สงบ ดิ้นรนวุ่นวายกระสับกระส่ายไปตามอารมณ์ ผลที่สุดก็เป็นไปด้วยทุกข์ที่ไม่อิ่มไม่พออ่านต่อ...