เมื่อเรามีคุณภาพแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในจิต เราก็ได้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไว้ในจิตแล้ว ผู้ที่มีคุณธรรมความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในจิต ย่อมเป็นผู้มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี มีเจตนาที่จะงดเว้นความชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ จึงกลายเป็นพระมหากรุณาคุณ
โดยธรรมชาติของผู้ที่มีจิตพุทธะปรากฏเด่นชัด ย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตเป็นปกติประกอบด้วยคุณธรรม คือ หิริ ความละอายต่อบาป โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาป มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพลังอินทรีย์พร้อมอยู่ที่จิต ทำให้จิตเด่น สว่างไสว รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่มีจิตเป็นเช่นนั้น เป็นจิตพุทธะ ย่อมงดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน การข่มเหงรังแกได้โดยเด็ดขาด จึงเป็นจิตที่ประกอบด้วยพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น้อมเอาคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คือพระมหากรุณาคุณ มาไว้ในจิตของเราแล้ว นี่คือคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยพระองค์เอง เราก็รู้ดี รู้ชอบตามพระองค์ไป พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระทัยอันบริสุทธิ์สะอาด มีกายวาจาเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด เราก็เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดตามพระองค์ไป พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาคุณ เรายึดมั่นในศีลในธรรม ปราศจากการฆ่า เบียดเบียน ข่มเหง รังแก เราก็มีคุณธรรมคือพระมหากรุณาคุณ โอปนยิโก เราได้น้อมเอาคุณธรรมซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า มาไว้ในจิตในใจของเราโดยสมบูรณ์แล้ว ดูซิ! เรามีคุณธรรมเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อเรามีคุณธรรมเช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เราเป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างแน่นอน
การกล่าวถึงพระพุทธเจ้าด้วยวาจา แต่ใจยังไม่ถึง คือยังไม่ถึงสภาวะรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ยังไม่ถึงสภาวะรู้ตื่นเบิกบานที่จิต เราจึงยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แท้จริงเป็นแต่เพียงแสดงกิริยาเท่านั้น บัดนี้ เรามาฝึกสมาธิภาวนาน้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้าคือพุทโธมาบริกรรมภาวนาเป็นคู่ของจิต และทำจิตให้สงบลง มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เราก็ได้คุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพุทธะมาไว้ในจิต เมื่อจิตของเรามีคุณภาพเช่นนี้ เราถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะจิตของเราเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ นี่คือคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้า เราภาวนา เราปรารถนา เราต้องการกันที่จุดนี้ อ่านต่อ...