พระพุทธเจ้ารู้เอง เห็นเอง ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เราฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมาปฏิบัติ ทำจิตให้เกิดมีพุทธะขึ้นในจิต จิตของเราก็กลายเป็นพุทธะ พุทธะมีพลังแก่กล้าขึ้น มีสติเป็นตัวเด่น สามารถที่จะคิดค้นอารมณ์จิตหรือธรรมที่ปรากฏขึ้นในจิต อะไรเกิดขึ้นดับไปภายในจิต จิตรู้ รู้ด้วยความมีสติ อาการที่จิตเกิดมีความรู้ ความคิดอ่านขึ้น สติรู้พร้อมอยู่นั่นเป็นองค์แห่งวิตก วิจาร เป็นองค์ฌานที่หนึ่งและองค์ฌานที่สอง สามารถปฏิวัติจิตให้ไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง รู้อะไรเห็นอะไรพิจารณา แล้วโอปนยิโก น้อมเข้ามาในจิต มารู้อยู่ที่จิต เป็นผู้รู้ดีรู้ชอบ พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบโดยไม่มีใครสั่งสอนพระองค์ พระองค์รู้เอง แต่เราเป็นสาวก เราฟังคำสอน แล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นผู้รู้ดี รู้ชอบตามพระองค์ และกิริยาอาการที่รู้ดีรู้ชอบนั้นเรารู้เองเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงเป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบได้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้าคือพระปัญญาคุณมาไว้ที่จิต
ในขณะที่จิตมีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อม รู้ชอบอยู่ในขณะนั้น แม้อารมณ์จะเกิดดับอยู่กับจิต จิตปราศจากความยินดียินร้าย ปราศจากความเกลียด ความรัก ความชัง จิตเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม จิตไม่มีอาการแห่งความยินดียินร้าย เป็นจิตที่ปราศจากกิเลส เพราะความยินดีคือกามตัณหา ความยินร้ายคือวิภวตัณหา จิตสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วปล่อยวางไป แม้จะมีความดูดดื่มซึมซาบในรสแห่งพระสัทธรรมก็ไม่ได้ยึดเอาไว้ จิตจึงปราศจากภวตัณหา เป็นจิตที่เป็นปกติ บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ดังนั้น เราจึงได้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้าประการที่สองมาไว้ในจิตแล้ว เป็นบริสุทธิคุณ แม้จะชั่วขณะจิตหนึ่งก็ยังดี อ่านต่อ...