หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่

ปฏิบัติการ "พล.อ.สนธิ"หลังยึดอำนาจ 10 ภารกิจเพื่อชาติ!ไล่เช็คบิล "ทักษิณ" และพวก

* หลังปฏิบัติการโค่นล้มระบอบทักษิณของ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ผบทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ครั้งนี้ ยังมีภารกิจที่ต้องทำเพื่อชาติถึง 10 ข้อก่อนจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่

* ตั้งแต่ไล่เช็คบิล แม้ว-เครือญาติชินวัตร และพวก เพื่อทวงทรัพย์สินที่ "คอร์รัปชั่น" คืนให้กับแผ่นดินไทย ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นอยู่ที่ไหนก็ตาม

* พร้อมรื้อกฎหมายทุกฉบับที่เอื้อต่อการ "โกงชาติ"

* จับตารัฐบาลชั่วคราว และนายกรัฐมนตรี ที่โดนใจประชาชน !.....


นับตั้งแต่มีการรวมพลของกลุ่ม "ไม่เอาทักษิณ"เมื่อปลายปี 2548 เป็นต้นมาสถานการณ์การเมืองของไทยก็เริ่มเข้าสู่เค้าลางแห่งความมืดมน ยิ่งมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีความต่อเนื่องยาวนาน และมีการขยายตัวออกไปทั่วประเทศ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่งก้นร้อนไม่เว้นแต่ละวัน

ขณะเดียวกันสังคมก็แตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเกิดปรากฏนี้มาก่อน บรรยากาศต่าง ๆ อึมครึมไม่รู้ว่า "ใครเป็นพวกใคร"และเหตุนี้เอง นำไปสู่ข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารตลอดเวลา

กระทั่งวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เหตุการณ์ยึดอำนาจจากรักษาการณ์รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็เกิดขึ้นจริง ภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในฐานะ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

โดยเจตนารมณ์ในการเข้ายึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้เกิดจากการบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย และยังส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง มีพฤติกรรมแทรกแซงอำนาจขององค์กรอิสระ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติให้ลุล่วงไปได้



ดังนั้น การยึดอำนาจครั้งนี้ จึงต้องมีขั้นตอนในการทำงานอย่างเป็นระบบและมีกระบวนการอย่างชัดเจน เพื่อทำให้ประเทศชาติเข้าสู่ภาวะสงบและเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงรวมไปถึงการจัดการให้มีการเลือกตั้งใหม่ และมีรัฐบาลที่ถูกต้องโปร่งใส และชอบธรรมที่สุด

"คณะปฏิรูปได้มีการหารือและเตรียมขั้นตอนต่าง ๆ รวมไปถึงเชิญผู้รู้เข้ามาดูแลเรื่องกฎหมายต่าง ๆที่เกี่ยวข้องไว้แล้ว และที่สำคัญจะต้องมีการไล่ยึดทรัพย์กันเกิดขึ้นในกลุ่มที่ทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะเราเชื่อว่ามีการโกงกินกันเกิดขึ้นจริงๆ ตั้งแต่คุณทักษิณ เครือญาติ รัฐมนตรี และพวกพ้องชนิดที่รวยกันอย่างไม่รู้เรื่องต้องดำเนินการกันไปตามอำนาจ และกฎหมายที่มีอยู่หากต้องแก้ก็ต้องแก้" แหล่งข่าวจากกองทัพบก กล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"



ชี้ชัด ๆยกเลิกกม.ฉบับใดบ้าง

ขณะที่นักวิชาการได้ให้ความเห็นในเรื่องการยึดอำนาจครั้งนี้รวมไปถึงสิ่งที่คณะปฎิรูปฯต้องเร่งดำเนินการแก้ไขและกอบกู้วิกฤตความเชื่อมั่นครั้งนี้เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเร็วที่สุด รวมไปถึงหากจะดำเนินการยึดทรัพย์จะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า การที่คณะปฏิรูปฯ ยึดอำนาจนี้ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีการวางแผนเตรียมการต่างๆไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี และรอบคอบเพราะการทำการเช่นนี้จู่ๆจะทำเพราะเหตุการณ์พาไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ถือเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ คณะปฏิรูปจะต้องเร่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนหรืออาจจะใช้แถลงการณ์ฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้เป็นกฎหมายแทน รธน.ฉบับเดิมเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเดินไปได้ก่อน

ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องจาก รธน.ฉบับเดิมนั้นก็จะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะยกเลิกกฎหมายฉบับใดหรือไม่ หรือจะประกาศให้กฎหมายทุกฉบับสามารถใช้ได้ตามเดิมแต่คณะปฏิรูปฯจะต้องมีแถลงการณ์ออกมาให้กระจ่างชัดเจนที่สุด



งัดเอา กม.ปปง.ยึดทรัพย์ได้ทันที

นอกจากนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนและชาวโลกให้เข้าใจว่าคณะปฏิรูปฯนั้นไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาบริหารประเทศเองอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือต้องเร่งจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาก่อนเพื่อประคับประคองกิจกรรมทางการเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

ส่วนประเด็นที่คนในสังคมจำนวนมากสงสัยและต้องการทราบคำตอบมากที่สุดเห็นจะเป็นการติดตามตรวจสอบและยึดทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่และจะเป็นไปโดยวิธีใดนั้น ดร.เจษฏ์ อธิบายว่า การปฏิวัติรัฐประหารแล้วจะเข้าไปยึดทรัพย์ของคนอื่นเลยถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่หากจะใช้วิธีการ "อายัดทรัพย์สิน"เพื่อตรวจสอบโดยผ่านช่องทางของกฎหมายโดยนำเรื่องนี้ไปให้ศาลเป็นผู้ตัดสินจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด

"ทุกอย่างต้องใช้ช่องทางกฎหมายจะถูกต้องที่สุดและยังเป็นที่ยอมรับของประชาชนและประชาคมโลกอีกด้วย"

สำหรับกฎหมายที่จะใช้ประกอบในการ "ตรวจสอบทรัพย์"ว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่มีอยู่หลายฉบับโดยเฉพาะกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)สามารถนำเข้ามาใช้ได้ทันที ขณะเดียวกันคณะปฏิรูปฯจะต้องตั้งคณะกรรมการที่มาจากนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นที่ยอมรับของคนสังคมขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้โดยตรง และไม่ควรมุ่งเป้าไปที่อดีตนายกฯแต่เพียงผู้เดียว ควรจะมีการตรวจสอบไปถึงบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย

ดร.เจษฏ์ ย้ำว่าสิ่งสำคัญสุดคือคณะปฏิรูปฯต้องออกประกาศมาก่อนว่า กฎหมายทุกฉบับทั้งที่เกี่ยวข้องกับ รธน.ฉบับเดิมและกฎหมายอื่นๆยังสามารถใช้ได้หรือไม่ จากนั้นก็สามารถรื้อระบบการบริหารราชการเดิมที่คิดว่ารัฐบาลชุดที่แล้วทำมาผิด หรือมีการทุจริต เช่น เข้าไปตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ที่เคยตั้งให้เข้าไปตรวจสอบบริษัทกุหลาบแก้ว ว่าได้ทำงานหรือไม่อย่างไร ถ้าเห็นว่าไม่มีความคืบหน้าคณะปฏิรูปฯสามารถใช้อำนาจสั่งการให้มีการตรวจสอบให้เสร็จสิ้นโดยเร็วได้ทันที

อีกทั้งหากเห็นว่าที่ผ่านมามีการเอื้อประโยชน์ต่อการเสียภาษีของครอบครัวอดีตนายกฯก็สั่งการไปยังคณะทำงานของกระทรวงการคลัง กรมสรรพากรให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนประเด็นที่เป็นปัญหาคาใจต่างๆของสังคมเราก็สามารถรื้อ ถอน หรือสั่งให้เข้าไปตรวจสอบการว่ามีการทุจริตหรือไม่อย่างไรได้โดยเร็วเช่นกัน

"ความจริงต้องดูเป็นเรื่องๆ ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายฉบับไหน เพราะกฎหมายที่จะเอาผิดผู้ประพฤติทุจริต มีด้วยกันหลายฉบับ แต่ผมเห็นว่าการใช้ช่องทางทางกฎหมายที่มีอยู่โดยให้ศาลเป็นผู้ตัดสินจะเป็นทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด"



ตั้งรัฐบาลใหม่-เร่งการเลือกตั้ง

ด้าน ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อาจารย์คณะรัฐปศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อธิบายว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการทำการปฏิวัติ แต่ครั้งนี้มีปัจจัยและมูลเหตุมาจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เองที่บริหารราชการผิดพลาด และถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะใช้นโยบายที่ผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

"คุณทักษิณ ยังใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยนำพรรคพวกร่วมกันแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง เห็นชัดเจนสุดคือ การแก้ไขกฎหมายโทรคมนาคม กฎหมายตัวแทนหรือนอมินี ที่ผ่านมาไม่มีกระบวนการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสเพราะหน่วยงานราชการก็ไม่กล้าที่จะขัดขืน

อย่างไรก็ดีสิ่งที่คณะปฏิรูปฯจะต้องเร่งดำเนินการหลังจากนี้ก็คือการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นที่ยอมรับของสังคมเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อให้การบริหารประเทศเดินเข้าสู่ครรลองตามปกติ

ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนฉบับเก่า หรืออาจจะมีการนำ รธน.ฉบับเก่ามาแก้ไขจุดที่มองเห็นความบกพร่องเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองที่จะนำไปสู่การปกครองในประชาธิปไตยต่อไป

สอดคล้องกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปฯที่แถลงต่อฑูตานุฑูตของ ประเทศต่างๆที่เข้าร่วมฟังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 กันยายน 2549 ว่าจะเร่งร่างรัฐธรรมฯูญฉบับใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายในสองอาทิตย์



แนะคณะปฏิรูปฯตรวจสอบทุกข้อกังขา

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ระบุว่าเรื่องที่คณะปฏิรูปฯควรที่จะเข้าไปจัดการมากที่สุดคือการตรวจสอบที่ไปและที่มาของทรัพย์สินต่างๆของอดีตนายกฯ ครอบครัว รวมทั้งพวกพ้อง คณะรัฐมนตรีและทุกคนที่เกี่ยวข้อง เช่น การกระทำผิดกฎหมายโทรคมนาคม กฎหมายนอมินี และการกระทำผิดอื่นๆที่สังคมเคยตั้งคำถามแต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่างชัด

"ต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาจากคนที่น่าเชื่อถือเข้าดำเนินการตรวจสอบหาหลักฐานเอาผิด จากนั้นนำไปร้องต่อศาลเพื่อให้เกิดการพิจารณาว่าเขามีความผิดจริงหรือไม่เรื่องนี้ต้องอาศัยช่องทางกฎหมายจัดการเท่านั้นทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสและคลายข้อกังขาของสังคม"



***********************************



พิษร้าย 5 ปีแห่ง"ระบอบทักษิณ" รวยกว่า 2แสนล้านจากนโยบายรัฐ

ประมวลพิษร้าย "ระบอบทักษิณ"ทำลายประเทศทุกภาคส่วน ขณะเดียวกันออกนโยบายรัฐเอื้อประโยชน์ธุรกิจในมือ-พวกพ้อง ผลประโยชน์กว่า 2 แสนล้านสร้างความร่ำรวยกันทั่วหน้า

คำแถลงการณ์ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ฉบับที่ 1 กลางดึกวันที่ 19 เดือน9 ปีที่ 2549 ที่ผ่านมา ได้ระบุถึงเหตุผลของการปฏิรูปการปกครองครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า "จากการบริหารราชการแผ่นดิน โดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบันก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่ายสลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย

นอกจากนี้แถลงการณ์ดังกล่าวระบุด้วยว่าจากการบริหารของรัฐบาลรักษาการของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัย ส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้การดำเนินการทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ"

จากเหตุผลของคณะปฏิรูปการเมืองฯดังกล่าวนี่เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญตามมา และเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองก็คงไม่คิดฝันว่าจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาจะมาถึงรวดเร็ว จนไม่สามารถพลิกเกมกู้สถานการณ์ข้ามประเทศกลับมาชนะได้ทันการ

การลงมือปฏิบัติการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ของคณะปฏิรูปการเมืองฯ โดยมีพล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะ ที่สามารถควบคุมไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและเกิดการสูญเสียครั้งนี้ ก่อให้เกิดกระแสตอบรับด้วยดีจากประชาชนจำนวนมากที่มองว่าการดำเนินการยึดอำนาจ จากพ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้เป็นความชอบธรรมอย่างชัดเจน

หากถามว่าอะไรคือ "ชนวนเหตุ"ที่ทำให้อดีตนายกฯคนที่ 23 ถูกยึดอำนาจขณะที่ตัวอยู่ไกลถึงนครนิวยอร์ค และงานนี้ยังไม่สามารถเรียกคะแนนความสงสาร ความเห็นใจจากใครในสังคมได้อีกนั้น เป็นเพราะการที่สังคมรับรู้ถึงพิษภัยจาก "ระบอบทักษิณ" ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาว่าร้ายแรงทำลายทุกระบบ ทุกภาคส่วนในสังคมได้มากน้อยแค่ไหน แต่ในขณะเดียวกันกลับไปเอื้อผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายที่มีอยู่อย่างจงใจ

กลยุทธ์ในการหาประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้องของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นได้กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กระแสความนิยมของรัฐบาลดิ่งลงต่ำต่อเนื่องในช่วงปลายยุค "ทักษิณ1" ซึ่งวิกฤตศรัทธาที่รัฐบาลทักษิณ ต้องเผชิญหน้ามาโดยตลอดนั้นทั้งตัวเขาและแกนนำในไทยรักไทยเองก็พยายามหาทางแก้เกมทุกหนทางแต่ทว่า ความผิดอันเกิดจากการกระทำทุจริต ใช้อำนาจรัฐปกป้องพร้อมทั้งหาผลประโยชน์ในคราวเดียวกัน จนยอมทำผิดกฎหมายเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจนกรณีการขายหุ้นในเครือชินคอร์ป ให้กับกองทุนเทมาเสก ที่กลายเป็นชนวนสำคัญปลุกสังคมให้ตื่นตัวรับรู้กับความเป็นจริง ที่ประเทศต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลให้กับคนบางกลุ่ม..!

ว่ากันว่ามูลค่าผลประโยชน์ที่เกิดจากการออกนโยบายรัฐเพื่อแสวงหาเม็ดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองของนายกฯทักษิณ นั้นมีมูลค่ามหาศาลมากมายกว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งนโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี การลดค่าสัมปทานให้กับไอทีวี การออกนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน นโยบายการเปิดเสรีทางการเงิน การเปิดFTA ระหว่างไทยกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ส่งผลให้บริษัทเอกชนของคนในรัฐบาลได้ประโยชน์ไปเต็มๆ นโยบายต่างๆที่ออกโดยรัฐบาลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บันดาลให้ธุรกิจในเครือชินคอร์ป ของพ.ต.ท.ทักษิณ โตวันโตคืนในชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันธุรกิจในมือเครือญาติและพวกพ้องเองก็สามารถสบายปีกเข้าไปรับงานในโครงการใหญ่ๆของรัฐ ได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่รัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัวมากที่สุด ก็ยังพบว่าระบอบทุนนิยมในยุคนี้ได้เข้าไปทำลายรากฐาน "เศรษฐกิจพอเพียง"อันเป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจนรากหญ้าในเวลานี้ไม่ใช่ "การเรียนรู้เพื่อจับปลา"ที่ถูกต้อง หากแต่คนเหล่านี้ นอกจากนี้จะไม่มี "ปลา"ให้กินแล้วยังมีหนี้สินก้อนโตอันเกิดจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลกันถ้วนหน้า...

เมื่อสังคมอยู่ท่ามกลางวิกฤตแห่งปัญหาอันเกิดจากพิษของระบอบทักษิณ จนเมื่อสถานการณ์สุกงอมมากพอที่จะดึงให้กองทัพต้องตัดสินใจเลือกหนทางยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการเมื่อค่ำคืนวันที่ 19 ที่ผ่านมาในที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาบานปลายมากไปกว่านี้

หากประมวลเหตุการณ์ก่อนนำไปสู่การประกาศยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปการเมืองการปกครอง ที่มีพล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ จะพบว่าก่อนหน้านี้มีข่าวลือเรื่องการ "ปฏิวัติ"มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บิ๊กในกองทัพเองต้องออกมาปฏิเสธล่าสุดข่าวดังกล่าวได้มีความพยายามออกมาพูดในเรื่องเดียวกันจากคนในรัฐบาล อย่างนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รักษาการเลขาธิการนายกฯ แต่กลับถูกมองว่าเป็นการพูดเพื่อตีกันคนบางกลุ่มไม่ให้เคลื่อนไหว

แล้วจากข่าวลือที่หนาหูมาโดยตลอดได้กลายเป็น "เรื่องจริง" ขึ้นมาทันที ในค่ำคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยหน้าที่คณะปฏิรูปการเมืองการปกครอง ซึ่งมีพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะ ได้ประกาศแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องในเวลาประมาณ 23.20 น.ว่าได้ทำการยึดอำนาจจากคณะรัฐบาลรักษาการเพื่อให้เกิดความสงบได้เรียบร้อยโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ



***********************************



ทักษิณ - สนธิ เปิดศึกชิงสื่อ

การปฏิวัติโค่น "ทักษิณ" เมื่อวันที่ 19 กันยายน ถือว่าเป็นการปฏิวัติที่เกือบจะเป็นการปฏิวัติเงียบ โดยคณะผู้ก่อการฯ พยายามให้เป็นเช่นนั้น คือ การปฏิวัตินั้นน่าจะเริ่มต้นเมื่อมีการเจรจากัน ในการที่จะให้ "ทักษิณ" ลาออกจากตำแหน่งด้วยความสมัครใจ สละอำนาจอย่างเงียบๆ และอยู่ในต่างประเทศระยะหนึ่ง เพราะหากกลับมาแล้ว จะเกิดการต่อต้านขับไล่ มีความกดดันอย่างยื้อเยื้อ และปัญหาปมการเมืองจะไม่จบลงโดยง่าย แต่การเจรจา เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.ของวันนั้น ไม่เป็นผล เพราะทาง "ทักษิณ" ได้ให้คำตอบผ่านตัวแทนของตนว่า หากจะลาออก ก็จะกลับมาก่อน และขอลาออก ซึ่งทางทหารได้บอกว่า สิ่งที่ได้ยื่นข้อเสนอให้นี้ เป็นการให้มีเพียงคำตอบ มิใช่การต่อรอง หรือการขอโอกาส และยังไม่มีความเชื่อมั่นว่า "ทักษิณ" จะรักษาพูด เพราะเคยตระบัตย์สัตย์มาแล้วหลายครั้ง หลายเรื่อง

เมื่อการเริ่มต้นอย่างเงียบๆไร้ผล ก็ยังมีความพยายามที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเงียบๆต่อไป ด้วยการให้โอกาสว่า ในคืนวันที่ 19 กันยายน จะมีการตัดสินใจใหม่ เพราะเห็นว่าจะมีการเอาจริง และได้กลายเป็นเหตุการณ์เผชิญหน้ากันแบบข้ามทวีป คือ ต่างมีการคุมเชิงกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นก่อน หรือใครจะทำอะไรก่อน และในขณะเดียวกัน ก็มีแผนการในการเข้าชิง "สื่อ" ที่จะกระจายการปฏิบัติการของตนไปยังมวลชน ซึ่งน่าจะเป็นการเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด และสื่อที่ถูกจับจ้องไว้เป็นเป้าหมาย คือ สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง

อีกปัจจัยสำคัญที่สามารถพลิกหน้าไพ่ ให้การโค่นล้มอำนาจทางการเมือง ให้หงายออกมาเป็น รัฐประหาร หรือกลายเป็นกบฏได้ คือการเข้าควบคุมสื่อมวลชน

เป็นเพราะสื่อมวลชนคือส่วนสำคัญในการชิงความได้เปรียบทางการเมืองมาในทุกยุคทุกสมัย ดังเช่นการรักษาความได้เปรียบของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดเวลาที่ถูกกระแสโจมตีถึงการทุจริต และไร้จริยธรรม ในการบริหารบ้านเมือง เพราะการที่รัฐบาลยึดสื่ออยู่ในมือครบถ้วนทั้ง ฟรีทีวี ทุกช่อง สถานีวิทยุคลื่นหลักทุกคลื่นทั่วประเทศนับร้อยคลื่น เคเบิลทีวี ไปจนถึงสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ รวมไปถึงการสร้างสื่อเฉพาะกิจอย่าง ทีวีดาวเทียม และเว็บไซต์ เผยแพร่ผลงานของรัฐบาล และโจมตีฝ่ายตรงข้าม ครอบงำให้ประชาชนส่วนใหญ่หลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถในการบริหารประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ต่อสู้กับเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มคนที่เรียกร้องให้เขาลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ อย่างเหนือกว่ามาโดยตลอด

การต่อสู้เพื่อยึดอำนาจของฝ่ายกองทัพ กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ก็เกิดสมรภูมิยึดสื่อมวลชนขึ้นเช่นกัน โดยเป็นการต่อสู้ระหว่างเครือข่ายสื่อของกองทัพบกที่อยู่ในการดูแลของฝ่ายทหาร กับเครือข่ายสื่อของบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) ที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาล

ในเวลาใกล้เคียงกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งรับรู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายกองทัพในประเทศไทย ขณะที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้สั่งการผ่านเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเชื่อมต่อสัญญาณการถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน และคำสั่งปลด พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ให้ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศตั้ง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดในการรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

เรื่องของ พล.อ.เรืองโรจน์ นี้ได้รับการชี้แจงแล้วว่า เป็นการถูกอ้างชื่อและแต่งตั้งโดยที่ พล.อ.เรืองโรจน์ ไม่รู้เรื่องด้วย

ในการประการสภาวะฉุกเฉินของ "ทักษิณ"ที่ใช้เสียงมาจากนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา นั้น ถือว่าเป็นการชิงสื่อกันแบบเฉือนเวลากันเป็นนาทีเลยทีเดียว เพราะการประกาศของคณะปฏิรูปฯ นั้นทำกันห่างจากนั้น ประมาณ 6 นาที และจากนั้นทหารก็เข้าควบคุมการออกอากาศแพร่ภาพของทีวีไปทีละช่อง จนกระทั่งทุกช่อง รับสัญญาณภาพขากช่อง 5 ที่เป็นแม่ข่าย ตั้งแต่บัดนั้น เมื่อเห็นว่ามีการใช้กำลังทหารจริง และทหารเอาจริง อีกทั้งมีความพร้อมเพรียงกันจริงทุกเหล่าทัพ และตำรวจ

ส่วนการแพร่ภาพลัดฟ้าของอดีตนายกฯ ให้โมเดิร์นไนน์ ทีวี เป็นแม่ข่าย กระจายสู่สถานีโทรทัศน์ในเครือข่ายรัฐบาล ทั้งช่อง 3 ช่อง 11 และ ITV แต่เนื่องจากสถานีลูกข่ายทั้งหมดถูกกองทัพเข้าควบคุมทั้งหมด เหลือเพียงโมเดิร์นไนน์ ที่สามารถต่อสัญญาณจากสหรัฐอเมริกาถ่ายทอดได้เพียงสถานีเดียว แต่การดิ้นรนเพื่อควบคุมสื่อสุดท้ายในมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ทำได้แค่เพียงการออกอากาศการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพียง 4 นาที ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป และสุดท้ายโมเดิร์นไนน์ก็เชื่อมต่อสัญญาณกับสถานีของกองทัพ

แหล่งข่าวระดับสูงจาก อ.ส.ม.ท. กล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ว่า ความพยายามยึดครองโมเดิร์นไนน์ไว้เป็นกระบอกเสียง 4 นาที เมื่อคืนวันอังคารนั้น เป็นแผนการที่วางล่วงหน้าโดยเนวิน ชิดชอบ ถึง 2 เดือน ก่อนที่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จะพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในสมัยแรก

โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ มีคำสั่งโยกย้ายผู้บริหาร อสมท ครั้งใหญ่นับตั้งแต่มีการแปรรูปองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ที่มีข่าวเล็ดลอดมาว่า เป็นการปรับตามใบสั่งของเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแล

ตำแหน่งโดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ มีคำสั่งโยกย้ายผู้บริหาร อสมท ครั้งใหญ่นับตั้งแต่มีการแปรรูปองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ที่มีข่าวเล็ดลอดมาว่า เป็นการปรับตามใบสั่งของเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแล

ในการโยกย้ายผู้บริหาร อสมท ครั้งนั้น มีผู้บริหาร 2 คนที่ถูกโยกย้ายเพื่อวางตัวให้เป็นผู้ดำเนินการเปิดไฟเขียวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถถ่ายทอดคำสั่งใด ๆ จากที่ใด ๆ ในโลก ให้โมเดิร์นไนน์เป็นผู้เผยแพร่ หากเกิดการล้มล้างรัฐบาลขึ้น คนหนึ่งรับผิดชอบการดึงสัญญาณเข้า อสมท. อีกคนจะเป็นผู้อนุมัติการออกอากาศ ซึ่งดูเหมือนว่าแผนการนี้ถูกงัดมาใช้เร็วกว่าที่คิด และจบลงเร็วกว่าที่คิดเช่นกัน

เมื่อถึงเวลาประมาณ 22.30 น. สถานีโทรทัศน์ทุกช่องก็พร้อมใจกันเผยแพร่ประกาศการยึดอำนาจการบริหารประเทศจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สลับกับบทเพลงเทิดพระเกียรติองค์ในหลวง

ก่อนเวลา 23.50 น. เป็นต้นไป พล.อ.ประภาส ศกุนตนาค และทวินันท์ คงคราญ ในฐานะโฆษกคณะปฏิรูปฯ สลับกันออกมาอ่านแถลงการณ์คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ ทุกช่อง และสถานีวิทยุทุกคลื่น

นอกจากนั้น สื่อพันธุ์ใหม่ที่ถูกก่อตั้งขึ้นจากความคิดของเนวิน ชิดชอบ เพื่อเชิดชูรัฐบาล ทั้งเว็บไซต์ roporter.co.th และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และบรอดแบนด์ MVTV รวมถึงกระทู้ราชดำเนิน ในเว็บไซต์ Pantip.com ที่เป็นเวทีโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาโดยตลอด ก็มีการปิดตัวลงในคืนวันเดียวกัน ก่อนเช้าวันพุธ reporter.co.th จะเปิดให้บริการใหม่โดยมีการนำเสนอข่าวความเคลื่อนไหวการยึดอำนาจ 4-5 ข่าวสั้น ๆ ไม่มีการแสดงทัศนะทางการเมืองเหมือนเคย ส่วน MVTV หันไปนำเสนอแต่เฉพาะรายการบันเทิง มิวสิควิดีโอ ภาพยนตร์จีน

ปิดฉากสมรภูมิชิงสื่อมวลชน ในการทำรัฐประหารครั้งแรกในรอบ 15 ปีของประเทศไทย รัฐบาลที่เคยใช้สื่อรุกไล่ผู้ต่อต้านมาเป็นเวลาร่วม 2 ปี วันนี้สื่อเหล่านั้นกลับมารุกไล่ตัวเขาเอง



ย้อนรอยยุทธการชิงสื่อ

การชิงสื่อครั้งนี้ ไม่มีลักษณะที่รุนแรงเหมือนกับการปฏิวัติในครั้งก่อนๆที่ผ่านมา การชิงสื่อในอดีตนั้น มีการใช้รถถังเข้ายึดสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจุดใหญ่ เมื่อครั้งที่โทรทัศน์ยังไม่แพร่หลาย หรือมีบทบาทในการเข้าถึงประชาชนที่เป็นเป้าหมายมากนัก และผู้ทำการยึดอำนาจจะต้องยึดสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยไว้จนกว่าจะมีการถอนกำลัง โดยจะเป็นการถอนกำลังจากส่วนนี้เป็นหน่วยสุดท้าย

โทรทัศน์เคยเป็นสื่อที่ทำให้เกิดการแพ้ชนะสำเร็จหรือไม่สำเร็จมาแล้ว ดังที่ การปฏิวัติครั้งหนึ่งที่ผู้ก่อการใช้ชื่อ พล.อ.ประเสริฐ ธรรมศิริ เป็นหัวหน้า ทำการปฏิวัติโดยใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เป็นที่ประกาศการยึดอำนาจและประกาศต่างๆ โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับโทรทัศน์เลย เพราะในสมัยนั้น ไม่มีการออกอากาศในตอนกลางวัน นอกจากในวันหยุด ที่จะมีรายการภาคเช้า โดยผู้ทำการปฏิวัติลืมไปว่า วันที่ทำการปฏิวัตินั้น เป็นวันเสาร์ มีรายการโทรทัศน์ในตอนเช้า และฝ่ายที่ปราการปฏิวัติ ได้ใช่ โทรทัศน์ของกองทัพบก ช่อง ๕ ออกมาตอบโต้ ประกาศต้านการปฏิวัตินั้น ทำให้การปฏิวัติ ต้องสลายตัว หลังจากที่มีการประกาศยึดอำนาจไม่กี่ชั่วโมง

การปฏิวัติที่มีการใช้สื่อมากที่สุด เห็นจะเป็นการปฏิวัติ ที่เรียกว่า "เมษาฮาวาย" โดยทหาร จปร.รุ่น 7 ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ไปประทับ ที่บ้านของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หน้ากองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จังหวัดนครรราชสีมา โดยที่ฝ่ายปฏิวัติยึดอำนาจอยู่ในกรุงเทพฯ

ในการเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางผู้ยึดอำนาจในกรุงเทพฯใช้สถานีโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ที่อยู่ในกรุงเทพฯเป็นสื่อของตน ส่วนทางนครรราชสีมา นั้น ฝ่ายปราบการปฏิวัติ ไม่มีสื่อโทรทัศน์ในมือ มีแต่สถานีวิทยุกระจายเสียงในท้องถิ่นที่มีกำลังส่งต่ำ ประชาชนในกรุงเทพฯ ไม่ได้รับข่าวสารหรือหรือการประกาศใดๆของทางฝ่ายโคราชเลย ข่าวสารของ 2 ฝ่ายถูกตัดขากแยกกันคนละส่วน ทางโคราช ได้ใช้วิธีการหลายอย่างที่จะให้การส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุ กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี ได้ถึงชาวกรุงเทพฯ เช่นการใช้เครื่องบิน ซี.130 ของกองทัพอากาศ เป็นสถานีลอยฟ้า อยู่บริเวณจังหวัดนครนายก รับสัญญาณจากโคราช มาถ่ายทอดเข้าสถานีวิทยุกระจายเสียง 01 กองทัพอากาศ ดอนเมือง ที่ทำให้สามารถรับฟังในกรุงเทพฯ ได้

แต่ต่อมาก็พบว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีมากไป เพราะระบบโทรศัพท์ทางไกล ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ยังเปิดบริการได้ตามปกติ จึงมีการใช้โทรศัพท์ทางไกลพูดจากโคราช มาเข้าห้องส่งของสถานีวิทยุ 01 กองทัพอากาศ ดอนเมือง และใช้สื่อวิทยุนี้ ทำความเข้าใจกับประชาชน และกับฝ่ายก่อการที่เป็น"กบฎ" ได้ จนเหตุการณ์ทางกรุงเทพฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติในที่สุด หลังจากที่เกิดเหตการณ์นั้น รวม 3 วัน




ไปข้างบน