หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook

จะเชื่อ‘หมอดู’ หรือเชื่อ‘พระพุทธเจ้า’

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมาส่งผลให้ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ตลอดจนประชาชนทั่วไปไม่มีความมั่นใจในการดำเนินกิจการต่างๆ จนต้องหันเข้าพึ่งพาหมอดู แม้กระทั่งอดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังไม่วายเดินทางไปพม่า เพื่อให้หมอดูชื่อดังชาวพม่า ‘อีที’ ทำนายทายทักและบอกวิธีการสะเดาะเคราะห์ให้ (แต่แม้จะสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ดวงของอดีตรักษาการนายกฯคนนี้ดีขึ้นเลย เพราะขณะนี้กรรมไม่ดีที่ได้กระทำมามากมาย ได้ส่งผลแล้ว)

ประเด็นคำถามตรงนี้คือการดูหมอดูดวงเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ และทางพุทธศาสนามองเรื่องนี้อย่างไร




เผยโฉม "อีที"หมอดูหญิงที่ลือกระฉ่อน "ทักษิณ" เคยไปขอคำปรึกษามากมายตั้งแต่หาวิธีการทำลายบรรดาผู้วิพากษ์วิจารณ์และฝ่ายต่อต้าน

พระเทพปริยัติวิมล รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย(มมร.) ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ว่า หมอดูหรือการดูหมอนั้นไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก ในทางตรงกันข้ามพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกรรม และในทางพุทธศาสนาก็ให้เชื่อในเรื่องของกรรมเป็นหลัก

“กรรมก็คือผลของการกระทำ หากทำดีก็จะได้รับผลดี แต่หากทำชั่วก็จะได้รับผลที่ไม่ดี ซึ่งถือเป็นสัจธรรม เปรียบเหมือนร่างกายของเรา ถ้ากินอาหารที่ดี มีประโยชน์ ร่างกายก็แข็งแรง แต่ถ้ากินอาหารที่เป็นพิษ ไม่มีประโยชน์ ร่างกายก็เจ็บป่วย อ่อนแอ การทำความดีให้ถึงพร้อมทั้ง กาย วาจา ใจ ถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ดังนั้นจะเชื่ออะไรก็ขอให้เชื่อด้วยปัญญา” พระเทพปริยัติวิมล กล่าว

ด้าน พระสุธีวรญาณ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) ระบุว่า การดูหมอถือเป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดเรื่องนี้ออกจากวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งนอกจากการดูดวงเพื่อความสบายใจแล้ว บางครั้งการดูดวงก็เป็นเรื่องของความเชื่อตามประเพณีนิยมในสังคม เช่น ในงานแต่งงาน การโกนจุก การเปิดร้าน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มองว่าก่อนที่จะทำพิธีมงคลดังกล่าวจำเป็นมีการดูดวงและฤกษ์ยามเสียก่อน

“บางอย่างมันกลายเป็นประเพณีนิยมไปแล้ว เช่น การแต่งงานก็ต้องนำดวงชะตาของคู่บ่าวสาวมาดูว่าดวงสมพงษ์ กันหรือไม่ ถ้าดวงเข้ากันไม่ได้จะแก้ไขอย่างไร การจะจัดพิธีแต่งงานก็ต้องหาฤกษ์ยามที่เหมาะสม หรือแม้แต่จะเปิดร้าน เปิดกิจการต่างๆ ก็ต้องดูว่าคนคนนี้จะเปิดร้านวันไหน เวลาเท่าไรถึงจะดี บางคนไม่สนใจเรื่องนี้แต่บรรดาญาติผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องตามใจพ่อแม่ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งกันเปล่าๆ”





สำหรับการดูหมอในรูปแบบต่างๆ เช่น ดูลายมือ ดูวันเดือนปีเกิด ดูโหงวเฮ้ง ดูด้วยไพ่ยิปซีนั้น พระเทพปริยัติวิมลและพระสุธีวรญาณเห็นสอดคล้องกันว่าถือเป็นศาสตร์ ที่มีมาแต่โบราณและใช้หลักการทางสถิติมาเป็นส่วนประกอบ ส่วนจะแม่นจริงหรือไม่นั้นไม่มีใครรับรองได้

“การดูดวงส่วนใหญ่เป็นเรื่องของสถิติ คือคนที่เขียนตำราดูหมอจะนำข้อสังเกตต่างๆที่ถูกบันทึกไว้มาประมวลเป็นตำรา เช่น การดูวันเดือนปีเกิดก็จะอาศัยหลักการทาง ดาราศาสตร์ การโคจรของดวงดาวต่างๆ ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าคนที่เกิดในขณะที่ดวงดาวโคจรในลักษณะนี้มักจะบุคลิกและนิสัยแบบนี้ ในช่วงอายุเท่านี้วิถีชีวิตมักจะเป็นแบบนี้ หรือการดูลายมือก็จะมีการบันทึกไว้ว่าผู้ที่ลักษณะลายมือแบบนี้ มักจะประสบเหตุอย่างนี้ ดังนั้นการดูดวงก็คือประเมินความเป็นไปได้ตามสถิติที่ได้การจดบันทึกไว้” พระสุธีวรญาณ กล่าว

ขณะที่ พระเทพปริยัติวิมล มองว่า “ในโลกนี้ก็มีศาสตร์ หลากหลาย การดูหมอก็เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นศาสตร์ที่ไม่มีในพุทธศาสนา การดูหมอก็คล้ายกับการซื้อหวยนะ บางครั้งอาจจะถูกบางครั้งก็ไม่ถูก บางทีมันไปลงล็อกพอดี ใน 10 คน อาจจะถูก 1 คน คนถูกก็จะไปเล่าลือ ว่าหมอดูคนนี้ดูแม่น แต่โดยส่วนตัวอาตมามองว่าเราเชื่อเรื่องกรรมจะดีกว่า คือถ้าคิดว่าสิ่งที่จะทำเป็นสิ่งที่ดีแล้ว พร้อมเมื่อไรก็ทำได้เลย ไม่ต้องรอฤกษ์ยามอะไร เพราะความดีนั้นทำเมื่อไรก็ดีทั้งนั้น แต่ถ้าสิ่งที่จะทำเป็นสิ่งไม่ดี แม้จะดูฤกษ์ยามอย่างไร ผลที่ออกมาก็ย่อมไม่ดี ส่วนการทำนาย ทายทักนั้นถือเป็นเรื่องนอกศาสนา ซึ่งก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง”

ส่วนการดูหมอด้วยญาณหรือโดยการถอดจิตอย่างเช่นในกรณีของหมอดูอีที หมอดูตาบอดชาวพม่า ซึ่งบรรดานักธุรกิจและนักการเมืองนิยมไปใช้บริการกันนั้น พระส่วนใหญ่มองว่าเป็นสิ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือโกหกหลอกลวง

“หากเป็นพระอรหันต์หรือพระเถระที่บรรลุธรรม ท่านจะมีญาณและสามารถถอดจิตได้ ซึ่งสิ่งที่ท่านหยั่งรู้ก็เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ส่วนการดูหมอถือเป็นเรื่องงมงายที่ท่านจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นคนละทางกัน” พระเทพปริยัติวิมล กล่าว

ด้านพระสุธีวรญาณ เห็นว่า “การดูหมอโดยใช้ญาณนั้นมีความเป็นไปได้ เพราะหากคนเราปฏิบัติสมาธิได้ในระดับที่ลึกซึ้งก็สามารถถอดจิตได้ แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่หมอดูที่บอกว่าดูด้วยญาณนั้นแท้จริงแล้วเป็นการดูจากตำราที่ได้ร่ำเรียนมา ซึ่งล้วนแต่เป็นไปในเชิงสถิติ แต่การที่หมอดูเห็นหน้าลูกค้าแล้วสามารถหลับตาดูดวงให้ได้เลยนั้น ก็เป็นเพียงการนำหลักการที่ร่ำเรียนมาซึ่งมันอยู่ในสมองอยู่แล้วมาทำนายโดยไม่ต้องขีดเขียนหรือกางตำรา เช่น อาจจะจำได้ว่า คนที่มีโครงหน้าแบบนี้ เกิดวันนี้ เดือนนี้ มักมีดวงอย่างไร”

อย่างไรก็ดี การที่คนทั่วไป รวมทั้งบรรดานักธุรกิจและนักการเมืองมักนิยมไปดูหมอ ก็อาจมีประโยชน์ในด้านการสร้างเสริมกำลังใจ ทำให้เกิดความสบายใจ และช่วยคลายเครียด

“การดูหมอช่วยในเรื่องของกำลังใจมากกว่า พอได้ดูหมอแล้วเวลาจะทำอะไรก็มีความมั่นใจมากขึ้น พอมีความมั่นใจมันก็มีสมาธิในการทำงาน ไม่ละล้าละลัง และสามารถดึงความรู้ความสามารถมาใช้ได้อย่างเต็มที่ คนที่มีความมั่นใจในความรู้ความสามารถก็คือคนที่มีความพร้อมนั่นเอง ดังนั้นคนที่ไม่มีความมั่นใจก็อาจต้องอาศัยการดูหมอเข้าช่วย แต่สำหรับคนที่มีความพร้อมอยู่แล้วจะทำการงานอะไรเมื่อไรก็ได้ และถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นเป็นความดีก็ทำไปเลย ฤกษ์ยามไม่มีความจำเป็น” พระเทพปริยัติวิมล กล่าว

ลองเปลี่ยนจากการดูหมอและเชื่อหมอดู หันมาดูตัวเองและเชื่อพระพุทธเจ้ากันดีกว่า ว่าวันนี้คุณ‘ทำดี’ แล้วหรือยัง เพราะผลจากการกระทำดี หรือที่เรียกว่ากรรมดี ย่อมเป็นกุศล ที่นำมาซึ่งความสุขโดยแท้




ไปข้างบน