เศษอิฐองค์พระธาตุพนม
พระธาตุพนม ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารในเขตอำเภอธาตุพนม ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 50 กม.(ทางหลวงหมายเลข 212) ผลจากการขุดค้น ทางโบราณคดีลงความเห็นว่าพระธาตุพนมสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1200-1400
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่ จ.นครพนม ตัวละครในเรื่องนี้ปัจจุบันทุกคนยังมีชีวิตอยู่ บางทีท่านผู้อ่านอาจจะไม่เชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ หรือปาฏิหาริย์ เพราะเหตุที่ท่านยังไม่เคยประสบพบเห็น
ส่วนตัวข้าพเจ้าถึงจะไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อในเรื่องเหล่านี้ เพราะข้าพเจ้าได้พบเห็นอาการผิดปรกติของตัวละครในเรื่องอย่างใกล้ชิดทีเดียว
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น.พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์ เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระธาตุพนมและประจวบ กับระหว่างนั้นฝนตกพายุพัดแรงติดต่อมาหลายวัน
ตามบันทึกประจำวัน วันที่ ๑๕ พ.ย. ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าและพ่อแม่ได้เดินทางไป อ.นาแก จ.นครพนม เนื่องจากสาเหตุว่าคุณตาซึ่งเป็นพ่อของแม่ข้าพเจ้าป่วยหนัก ท่านเป็นโรคสารพัดโรค หรือจะเรียกว่าโรคชราก็ได้ เพราะอายุอานามปาเข้าไปตั้ง ๘๐ แล้ว
พ่อของข้าพเจ้าเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด และมาได้กับแม่ข้าพเจ้าที่กรุงเทพฯ ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพฯ เสียเลย และทุกปี พ่อกับแม่ของข้าพเจ้าจะต้องไปเยี่ยมบ้านคุณตาทุก ๆ ปี การไปเยี่ยมแต่ละครั้งก็ประมาณ ๕-๖ วัน และทุกครั้งก็จะมีข้าพเจ้าติดตามไปด้วยทุกครั้ง และถ้าพ่อแม่ของข้าพเจ้าไปเยี่ยมคุณตาตอนขณะที่ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ข้าพเจ้าก็จะถือโอกาสอยู่ต่อที่นาแกทุกครั้งไปจนใกล้จะเปิดเทอมถึงจะกลับ
บางครั้งข้าพเจ้าอยู่นานถึงสองเดือนจนสามารถพูดภาษาพื้นเมือง หรือที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาเรียกว่าภาษาลาวได้อย่างคล่องแคล่ว
ในคืนหนึ่งของเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะชาวไทย-ลาวที่อยู่สองริมฝั่งแม่น้ำโขง แทบหัวใจสลายเมื่อรู้ข่าวการพังทลายขององค์พระธาตุพนม จ. นครพนม ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธามานานนับพันปี
ข้าพเจ้าและพ่อแม่ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ วันที่ ๑๕ พ.ย. ๒๕๑๘ ตอนหัวค่ำและถึง จ.นครพนมตอนเช้าตรู่ ข้าพเจ้าและพ่อแม่ได้ตรงไปบ้านคุณตาทันที เพราะคุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ข้าพเจ้า ได้โทรเลขมาบอกว่าคุณตาป่วยหนัก แต่เมื่อดูอาการแล้วก็ไม่มีอาการหนักหนารุนแรงเท่าไรนักหรอก เพียงแต่ท่านแก่แล้วก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนแก่เท่านั้นเอง
เมื่อดูอาการและพูดคุยพอสมควรแล้วข้าพเจ้าก็ออกมาพูดคุยกับญาติ พี่ น้อง ตามประสา นานทีเจอกันที แล้วเราก็ตกลงไปเที่ยวชมพระธาตุพนมกัน เพราะหลังจากที่พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงแล้วข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยได้ไปชมเลย
ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2522
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การไปเที่ยวชมพระธาตุในครั้งนี้ได้ชมแต่เพียงเศษอิฐ และเพชรพลอยของพระธาตุเท่านั้น ในครั้งที่องค์พระธาตุจะล้มครืนลงมานั้นได้เกิดฝนฟ้าคะนอง และลมพัดแรงอย่างหนักผิดปรกติ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุบอกถึงลางร้ายถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทยก็เป็นได้ เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุนี้ เคยได้รู้ได้ฟังจากชายแก่ ๆ ที่เป็นคนทำความสะอาดวัดพระธาตุฯ นี้มานมนานว่า
ครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนสงครามอินโดจีน ฝรั่งเศสได้ทิ้งระเบิดโจมตีอย่างหนัก ชายแก่คนนั้นแกเล่าว่าลูกระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาจากท้องฟ้านั้นเหมือนกับห่าฝนห่าใหญ่ ๆ เลยทีเดียว แต่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์ประการใดมิทราบองค์พระธาตุฯ ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่สะเก็ดมิได้กระทบกระเทือนองค์พระธาตุเลย และลูกระเบิดที่ตกห่างจากองค์พระธาตุใกล้ที่สุดเพียง ๕๐ เมตรเท่านั้นเอง และในครั้งที่องค์พระธาตุฯ ล้มครั้งนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนชาวไทยภาคอีสานอย่างมากมาย
เนื่องจากฉัตรทองคำที่ประดับไว้บนยอดพระธาตุหนักประมาณ ๑๒ หรือ ๑๓ ก.ก. ได้หลุดกระเด็นไปพิงกับผนังรั้วด้านที่อยู่ในบริเวณวัด ซึ่งถ้าคิดดูแล้วมันเป็นไปได้มากทีเดียวที่ฉัตรทองคำอันนั้นจะหลุดกระเด็นออกไปนอกเขตบริเวณวัด แต่มันก็มิได้เป็นเช่นนั้น และที่แปลกมากคือเศษอิฐที่ประกอบขึ้นเป็นองค์พระธาตุฯ ก็มิได้กระเด็นกระดอนออกนอกเขตวัดพระธาตุฯ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ปัจจุบันองค์พระธาตุสูง 53.60 เมตร เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมสูงแลดูสง่างาม
ข้าพเจ้าและพี่ซึ่งเป็นลูกของป้าเดินชมเศษพระธาตุฯ อยู่รอบๆ บริเวณที่พระธาตุฯ ล้มลงมา เจ้าหน้าที่ได้กั้นบริเวณให้เราชมอยู่ห่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ก็ได้นำเพชรนิลจินดา และแก้วแหวนเงินทองที่ประดับไว้ในองค์มาใส่ตู้กระจกไว้ให้ชม
ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินชมเครื่องประดับในตู้กระจกเพลินอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นพระอิฐองค์ใหญ่ ๓ องค์วางอยู่กับพื้น โดยมีผ้ารองอยู่และมีกระถางธูปวางอยู่ข้างๆ พระทุกองค์ ข้าพเจ้านั่งลงชมและจับต้องอยู่นาน ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ทางด้านโบราณคดี จึงมิอาจบอกได้ว่าเป็นศิลปะสมัยไหน พี่ชายซึ่งเป็นลูกของป้าเห็นข้าพเจ้าสนใจจึงบอกว่าอยากรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระสามองค์นี้รึไม่ ข้าพเจ้าตอบว่าอยาก พี่ชายจึงบอกว่าก็จุดธูปบอกท่านว่าถ้าพระพุทธรูปนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ยกพระพุทธรูปนี้ไม่ขึ้นเถอะ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นการท้าทายสิ่งที่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่เอาธูปปักในกระถางเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเอาสองมือกระชับที่พระพุทธรูปองค์ที่อยู่ซ้ายสุด ข้าพเจ้าออกแรงยกพระพุทธรูปองค์นั้นทันที แต่ข้าพเจ้าก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุด เพราะพระพุทธรูปองค์นั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าผละมือออกจากพระพุทธรูป เอาสองมือนั้นเช็ดกับขากางเกงเพื่อจะลองใหม่อีกที คราวนี้ข้าพเจ้าออกแรงแทบจะเป็นแรงกระชากทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถทำให้พระพุทธรูปองค์นั้นขยับเขยื้อนเลย ข้าพเจ้าปฏิบัติอย่างนั้นกับพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ แต่ก็ได้รับผลอย่างเดียวกัน พี่ข้าพเจ้าบอกว่าคราวนี้จุดธูปบอกท่านว่าเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านแล้วและคราวนี้ขอให้ยกพระพุทธรูปนี้ขึ้นด้วยเถอะ ข้าพเจ้าทำตามที่พี่ชายบอก และข้าพเจ้าถึงกับตกใจทีเดียวเพราะเวลาข้าพเจ้าเอามือเพียงแต่จับพระพุทธรูปเท่านั้น พระพุทธรูปอิฐองค์นั้นก็ลอยขึ้นเหมือนตัวเองมิได้ออกแรงเลย ข้าพเจ้าปฏิบัติกับพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ตอนที่เอามือจับพระองค์แรกนั้น มือของข้าพเจ้าสั่นระริกเลยทีเดียวเพราะไม่คิดเลยว่า พระพุทธรูปองค์นั้นจะลอยขึ้นโดยมิต้องออกแรงเลย ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนนั้นอยากจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ขากรรไกรแข็งไปหมด แล้วเราก็เดินจากพระพุทธรูปอิฐ ๓ องค์นั้นไปทั้ง ๆ ที่ยังตกตะลึงอยู่ และนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เผชิญกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปอิฐในวัดพระธาตุพนม
นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในองค์พระธาตุแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้นโดยเฉพาะฉัตรทองคำ บนยอดพระธาตุ มีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม
ข้าพเจ้าเดินชมซากเศษพระธาตุฯ อยู่รอบๆ วัดครู่ใหญ่แล้ว จึงเดินมาสมทบกับพ่อและแม่ ซึ่งเราแยกกันเดินชมวัดฯ
ในที่สุดเราก็เดินทางกลับบ้านที่ อ.นาแก ในขณะที่รถแล่นมาได้ประมาณ ๑๐ นาที พ่อข้าพเจ้าก็เริ่มบ่นว่าปวดท้อง แต่ทุกคนก็มิได้เอะใจเพราะคิดว่าเป็นการปวดท้องแบบธรรมดา แต่รถก็ยิ่งแล่นไปไกลเท่าใดพ่อข้าพเจ้าก็ยิ่งบ่นว่าปวด... ปวดท้องมากขึ้น ทุกคนบนรถไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่บอกว่าเดี๋ยวถึงบ้านจะเอายาจากหมอที่อนามัยให้กิน ใบหน้าของพ่อซีดลงอย่างเห็นได้ชัด พ่อคู้ตัวลงและเอาสองมือกุมท้อง ข้าพเจ้าได้แต่นั่งมองอาการของพ่อด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ในไม่ช้าพวกเราก็มาถึงบ้าน ข้าพเจ้ากับพี่ช่วยกันพยุงพ่อขึ้นบนเรือน ส่วนแม่กับป้ารีบไปหาหมอที่อนามัยถึงมันค่ำแล้วแต่ก็คงมีหมอเวรอยู่ดอก
แม่เอายาธาตุใส่แก้วน้ำประมาณครึ่งแก้วให้พ่อกิน พ่อดื่มมันรวดเดียวหมดแก้ว แต่อีกสักครู่พ่อก็อาเจียนมันออกมาหมด พ่อนอนซมอยู่ในห้องพักใหญ่และก็อาเจียนออกมาอีก แต่คราวนี้อาเจียนที่ออกมามีแต่ข้าวปลาที่กินเข้าไปทั้งของเก่าและของใหม่ออกมาหมด แล้วในที่สุดก็มีน้ำย่อยออกมาแล้วตามมาด้วยเลือดเป็นก้อนๆ แม่ของข้าพเจ้าพล่านจนทำอะไรไม่ถูก แม่บอกกับป้าว่าพาพ่อไปโรงพยาบาลดีกว่า ป้าบอกว่าอย่าไปเลยเพราะต้องเหมารถไปที่นครพนม (อ.เมือง) ไม่รู้ว่าจะมีรถยอมไปรึเปล่าเพราะตอนกลางคืนมันอันตราย ผ.ก.ค. ที่นี่มันมาก อาจจะโดนกับระเบิดที่มันวางไว้เฉพาะรถทหารก็ได้ ป้าว่าเอาไว้ตอนเช้าค่อยไปก็ได้
คืนนั้นข้าพเจ้านอนอยู่ข้าง ๆ พ่อ พ่อนอนโอดครวญจนหลับไปข้าพเจ้าก็พลอยหลับไปด้วย ข้าพเจ้าหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ แต่มาตกใจตื่นตอนที่พ่อละเมอออกมาว่า “ไป ๆ ๆ” “อย่าเข้ามาๆ ๆ” เสียงของพ่อดังลั่นบ้านทีเดียว แม่กับป้าต้องวิ่งแจ้นออกมาดู พ่อยกมือขึ้นปัดป้องเหมือนใครจะเข้ามาทำร้าย ข้าพเจ้าลุกขึ้นจับไหล่พ่อเพื่อจะปลุกให้ตื่น แต่ก็โดนมือพ่อที่ปัดป้องอยู่นั้นกระทบเข้าที่หน้าจนข้าพเจ้าผงะหงายหลังไป แม่กับป้าช่วยกันมาจับแขนของพ่อคนละข้าง แต่พ่อก็ยังดิ้นอยู่อย่างนั้นปากก็ตะโกนว่า “อย่าเข้ามาๆ ๆ” อยู่อย่างนั้น พ่อดิ้นอยู่อย่างนั้นประมาณ ๕ นาที แล้วก็หลับผล็อยไป
ข้าพเจ้าตกใจมากคิดว่าท่านสิ้นใจจึงรีบจับชีพจรและก้มลงฟังเสียงหัวใจก็รู้ว่าท่านยังไม่เป็นไร จากนั้นข้าพเจ้าก็นอนกระวนกระวายใจกว่าจะหลับลงได้นานพอดู
ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้
ข้าพเจ้ามาตื่นอีกทีก็สายแล้วเห็นแม่กับป้าแต่งตัวทำท่าทางจะออกไปข้างนอก ข้าพเจ้าจึงถามว่าจะพาพ่อไปโรงพยาบาลรึ ป้าบอกว่าไม่ ป้าจะไปวัดพระธาตุพนม ป้ารู้ว่า ข้าพเจ้าสงสัยว่าจะไปวัดพระธาตุพนมทำไม ป้าจึงเล่าให้ฟังว่า พ่อแอบไปหยิบเศษอิฐองค์พระธาตุพนมมาโดยมิได้บอกท่าน ท่านจึงลงโทษอย่างที่เห็นเมื่อวานนี้นั่นละ
ข้าพเจ้าถามว่าป้า รู้ได้อย่างไร ป้าบอกว่าเมื่อคืนพ่อฝันว่ามีคน ๑๐ กว่าคน ทุกคนนุ่งโจงกระเบนสีลายมอๆ สะพายดาบบ้างถือดาบบ้าง หน้าตาเหลี่ยม ๆ คมสัน บึกบึน มีกล้ามเป็นมัดๆ เหมือนคนโบราณจะมาเอาชีวิตพ่อ ถ้าพ่อไม่รีบเอาไอ้นี่ไปคืนท่าน ป้าหยิบเศษอิฐก้อนนั้นออกจากกระเป๋าถือให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้าดูแล้วก็เห็นเหมือนกับเศษอิฐทั่วไปผิดแต่เพียงว่าอิฐก้อนนี้เป็น เศษอิฐจากองค์พระธาตุพนม เท่านั้นเอง
|