ปิดฉาก “ความเสื่อมถอย” ปีจอ ก้าวสู่ “สังคมคุณธรรม” ปีกุน
นับเป็นของขวัญของคนไทยทั้งประเทศเพื่อปิดฉาก ปีจอ และต้อนรับ ปีกุน
กับการประกาศให้คุณธรรมและจริยธรรม เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยใช้งบประมาณถึง 62,000 ล้านบาท ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
เพราะต้องยอมรับว่า ปี 2549 เป็นปีแห่งความเสื่อมถอยของสังคมไทยอีกปีหนึ่ง
จากการระดมสมองและสอบถามความเห็นของบุคคลในสังคมจำนวนกว่า 600 คน โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 10 อันดับสถานการณ์เด่นในรอบปีนี้ เป็นเรื่องของวิถีชีวิต ความสัมพันธ์ ความ ขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงในกระแสสังคมเกือบทั้งสิ้น
มีทั้ง คนไทยคลั่งหวย คลิปวีดิโอโป๊ระบาด แพทยสภาประกาศข้อเท็จจริงทางการแพทย์ การละเมิดทางเพศกับเด็ก ความรุนแรงในโรงเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
ไม่รวมถึงปัญหาสังคมอันเกิดจากกระแสบริโภคนิยม ที่ยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น ปัญหาการขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการฆ่าตัวตาย ปัญหาท้อง-แท้ง-ทิ้ง ปัญหาแก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่งกวนเมือง ปัญหาบัตรเครดิต หนี้เงินด่วนและหนี้นอกระบบ ปัญหาสื่ออินเตอร์เน็ตลามก การดื่มสุราของวัยรุ่น ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ ปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การใช้เคมีทางการเกษตร การป่วยด้วยโรคจากการทำงานของแรงงานไทย ปัญหารถร่วมบริการกับการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกแทบทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ในบ้านเรา ปรากฏการณ์ของ “โทรศัพท์มือถือ” เป็นกรณีศึกษาที่ดีของการเรียนรู้ปัญหา และกระบวนการการเปลี่ยนแปลงในทางสังคม
คนไทยใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าคนอเมริกันถึง 2.5 เท่า และมากกว่าคนอังกฤษถึง 2 เท่า ทั้งๆที่เราเป็นประเทศที่ยากจนกว่า
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยแล้ว โทรศัพท์มือถือเป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสาร
เพราะอีกนัยหนึ่งของ ค่านิยมหลงทาง โทรศัพท์มือถือเป็นเหมือนเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมของผู้ใช้ เป็นสื่อที่แสดงถึงความร่ำรวย ความมีอำนาจวาสนาและบารมี และหลายครั้งที่โทรศัพท์มือถือมีสถานะไม่ต่างจากเครื่องประดับ เช่นเดียวกับ กำไล ต่างหู แหวน หรือสร้อยคอ
เด็กวัยแตกเนื้อสาวจำนวนไม่น้อย ยอมสละความบริสุทธิ์ในความสาวของตนเอง เพียงเพื่อแลกกับโทรศัพท์มือถือชนิดมีกล้องถ่ายรูป หรือมีฟังก์ชันหลากหลายสักเครื่องหนึ่ง เพื่อไปอวดเพื่อน ทั้งๆที่เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย
เหมือนตอกย้ำว่า การศึกษาของบ้านเรากำลังเดินไปอย่างหลงทิศ หลงทางหรือไม่...?
แม้ว่ามนุษย์จะมีความฉลาดพอที่จะคิดสร้างเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย อย่างโทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้คนเราสามารถติดต่อกันได้ทุกที่ แต่ความเป็นมากกว่าโทรศัพท์ ก็สร้างปัญหาให้กับสังคมไม่น้อย
SMS ปรากฏการณ์ใหม่ ที่รายการโทรทัศน์และบริษัทธุรกิจใช้เป็นกลยุทธ์ดูดเงินจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ด้วยการกระตุ้นและปลุกเร้าให้โหวตทายผล โหวตเชียร์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่บริการโหลดเพลง ภาพหน้าจอ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความสองแง่สามง่าม ผ่านทางมือถือ โดยคิดค่าบริการเพิ่มเติม และกลุ่มที่เป็น “เหยื่อ” บริการเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น “วัยรุ่น” ที่ยังหาเงินเองไม่ได้
ความเสื่อมถอยอีกประการหนึ่งที่เป็นภาพชัดเจนในสังคมไทย ปี 2549 ก็คือ ปัญหาหนี้เน่า หนี้บัตรเครดิต หนี้เงินด่วนและหนี้นอกระบบ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
การเข้าถึงบริการทางการเงินที่ง่ายและสะดวก ด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัตรเครดิตเพียงใบเดียว ประเภท รูดปรื๊ดๆ ก่อให้เกิดปัญหาสังคมที่คาดไม่ถึง
การทวงหนี้แบบจิกไม่ปล่อย ทั้งคุกคาม ตามรังควาน ขู่กรรโชก กดดันสารพัดรูปแบบ บางรายถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินและประทุษร้ายถึงชีวิต
รายจ่ายที่สูงกว่ารายได้ จนต้องกู้หนี้ยืมสิน หรือการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจนเกินตัว เพื่อตอบสนองความต้องการทางวัตถุ ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว โดยเฉพาะบางแห่งดอกเบี้ยโหดระดับเกือบร้อยละ 50 และยังนำไปสู่การทวงหนี้แบบไร้คุณธรรมของบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย
คำถามก็คือ เรามีความจำเป็นต้องซื้อหา หรือใช้จ่ายเงินถึงขนาดที่ทำให้ก่อปัญหาขนาดนี้เชียวหรือ?
ปัญหาความเสื่อมโทรมทางเพศ ท้อง-แท้ง-ทิ้ง ติดเอดส์ วิบากกรรมซ้ำซากของสังคมไทย
ตลอดทั้งปี 2549 สถานการณ์ปัญหาทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืน การล่วงละเมิดทางเพศ การทำแท้ง ตลอดจนการมั่วเซ็กซ์ของเด็กวัยเรียน ยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง
หัวข้อข่าวสะเทือนอารมณ์ ยังคงมีให้เห็นแทบทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์
“แม่ใจร้าย จับกดลูกแรกเกิดในห้องน้ำวัด”
“ชิงทรัพย์ นศ.สาวข่มขืนแล้วถ่ายรูป”
“น้าอนาจารหลาน 5 ขวบ”
“แม่ชั่วโยนลูกเพิ่งคลอด ดับคาคอนโดฯ 5 ชั้น”
หรือ “สาว ม.3 มั่วเซ็กซ์แพร่วีดิโอคลิป”
ทั้งข้อมูลจากโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานครมีอัตราการทิ้งทารกต่อประชากรสูงที่สุด คือ ประมาณ 7.43 คนต่อประชากรแสนคน ขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศอัตราการทิ้งทารกอยู่ที่ 2.61 คนต่อประชากรแสนคน
พูดให้ชัดเป็นจำนวนตัวเลขก็คือ มีเด็กแรกเกิดถูกทิ้งปีละ 700-800 คน เฉลี่ยวันละประมาณ 2 คน
นอกจากนี้ยังพบว่า กว่า 20% ของแม่ที่มาคลอดที่โรงพยาบาล มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
ข้อมูลจากโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ-มหานคร ระบุว่า ปี 2549 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป สรุปตัวเลข ณ วันที่ 24 ธ.ค. 2549 มีแม่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี มาคลอดถึง 1,622 คน
ขณะที่ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น และการติดเชื้อเอชไอวี กำลังเป็นประเด็นที่น่าวิตก
จากการสำรวจพฤติกรรม ความรุนแรงและปัญหาเพศศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 13-18 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ทุกอำเภอทั่วประเทศจำนวนกว่า 2 แสนคน พบว่า อายุเฉลี่ยของการมีเพศสัมพันธ์ลดน้อยลง
คือแค่ 13 ปี!
และยังพบว่า มีวัยรุ่นที่ตกเลือด และติดเชื้อจากการทำแท้งมารักษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับตัวเลขของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่พบในกลุ่มอายุ 15-24 ปี มากขึ้นกว่ากลุ่มอื่นๆ
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เกิดจาก “ความป่วยไข้” ด้วย โรคไม่เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และคุณธรรมที่เสื่อมถอย
โรคนี้ถ้าเป็นกันมากขึ้นจะทำให้สังคมไทยอ่อนแอ!
คุณหมอประเวศ เสนอแนวทางการรักษาโรคนี้ว่า ต้องสร้างจิตสำนึกในเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนใหม่ คือ มีความเชื่อมั่นในพลังความสามารถของทุกคน เคารพในความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มคนเล็กคนน้อยในสังคม สำนึกในความรู้ที่มีอยู่ในตัวที่ได้มาจากประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน
เมื่อสำนึกเช่นนี้ ทุกคนก็จะมีความภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง ผู้คนหลากหลายฝ่ายจะสามารถรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำเรื่องดีๆ ช่วยกันขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากสังคม ซึ่งจะนำพาไปสู่การสร้างความถูกต้องเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ในที่สุด
ปี 2550 หรือปีกุน น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับคนไทย ที่จะได้หันกลับมาเรียนรู้การใช้ชีวิตในแบบที่ถูกที่ควร ด้วยการอยู่กับธรรมชาติ โดยมี “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” เป็นเสมือนเข็มทิศชีวิตส่องนำทาง
เปลี่ยน “ความทุกข์” ให้เป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “ความยากจน” ให้เป็น “ความพอเพียง”
เปลี่ยน “ปัญหา” ให้เป็น “ปัญญา” เพื่อนำไปสู่ “โอกาส”
เปลี่ยน “ความไม่ดี” ให้เป็น “ความดี”
เพื่อนำไปสู่ “โอกาส” ที่คนไทยจะได้อยู่เย็นเป็นสุขแบบยั่งยืน
ช่วยกันทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริง เป็นของขวัญปีใหม่กับตัวเอง สังคม และประเทศชาติกันเถอะ......
|