หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook

ล่องแม่น้ำ ไหว้พระ 9 วัด เอาฤกษ์รับขวัญปีใหม่

เทศกาลปีใหม่ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่กลิ่นอายแห่งความสุขก็ยังคงอบอวลอยู่ในหลายๆ ที่ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ระเบิดกรุงเทพฯ มาทำให้หลายๆ คนอกสั่นขวัญแขวนไปบ้างก็ตามที

ไม่รู้ว่าปีใหม่นี้หลายๆ คนได้เริ่มต้นทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยกันบ้างหรือยัง หากใครยังไม่ได้เริ่ม จะลองไปไหว้พระ 9 วัด เป็นสิริมงคลแบบฉันก็ได้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ 9 วัดธรรมดา แต่เป็นการไหว้พระ 9 วัดทางน้ำ ไปนั่งเรือรับลมในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองบางกอกน้อยให้จิตใจเย็นสบายและสงบกันดีกว่า


พระศรีรัตนเจดีย์ พระมณฑป และพระพุทธปรางค์ปราสาทในวัดพระแก้ว

เริ่มต้นการไหว้พระทางน้ำกันที่ วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานกันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยละโว้โน่น เดิมชื่อว่า "วัดสมอราย" ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดราชาธิวาสวิหาร" แปลว่า วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา อีกทั้งรัชกาลที่ 4 สมัยที่ยังเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้ผนวชและจำพรรษา ณ วัดนี้ และได้ก่อตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้นที่นี่ด้วย

สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นก็คือพระอุโบสถซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้ "นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม" หรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบ โดยมีลวดลายเลียนแบบสถาปัตยกรรมขอม มีเสาพาไลรอบ แต่ก็ยังคงรักษาโครงสร้างของพระอุโบสถเดิมที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 ไว้อย่างสวยงาม


พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ลงเรือลอยลำลอดใต้สะพานพระรามแปดและสะพานปิ่นเกล้ามาที่ วัดอัมรินทรารามราชวรวิหาร หรือชื่อเดิมว่า "วัดบางหว้าน้อย" ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟบางกอกน้อย และการวางรางรถไฟในตอนนั้นก็ทำให้พระอุโบสถที่มีมาก่อนต้องถูกตัดไปหนึ่งห้องเพื่อทำทางรถไฟ เมื่อพระอุโบสถเล็กลงชาวบ้านก็เลยเรียกว่าโบสถ์น้อย และเรียกพระประธานว่าหลวงพ่อโบสถ์น้อยไปด้วย

หากใครมาที่วัดนี้ก็ต้องมาไหว้พระพุทธฉายจำลอง และพระพุทธบาทจำลอง โดยมณฑปของพระพุทธบาทจำลองนี้จัดว่าเป็นมณฑปที่สวยงามแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยทีเดียวละ

ไปวัดบางหว้าน้อยแล้ว ก็ต้องไปต่อวัดบางหว้าใหญ่ หรือ วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร ที่อยู่ไม่ไกลกัน ถ้ามาวัดนี้แล้วก็จะต้องไปกราบพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระประธานที่รัชกาลที่ 5 เคยตรัสว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที..."


ไหว้พระประธาน 28 องค์ ที่วัดอัปสรสวรรค์

ที่พลาดไม่ได้ก็คือจะต้องมาที่กราบพระที่วิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ และมาที่วิหารหลังตรงข้ามที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัด นี้ไว้ 3 องค์ คือ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสนีวงศ์) และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)

แถมที่วัดนี้ยังมีหอพระไตรปิฎกที่เป็นตำหนักไม้แฝด 3 หลัง ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นตำหนักและหอประทับนั่งของรัชกาลที่ 1 เมื่อตอนที่ยังเป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกฝ่ายขวา ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่เมื่อต้องเสด็จไปตีเมืองโคราชจึงได้รื้อตำหนักนั้นมาถวายวัดระฆัง หรือวัดบางหว้าใหญ่ในขณะนั้น หอพระไตรปิฎกนี้ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี และยังเคยได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี 2530 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย

ข้ามมายังฝั่งตรงข้ามที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วกันบ้าง วัดนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมไทยที่สุดยอดหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ฯลฯ เมื่อมาที่วัดพระแก้วแล้วก็ต้องไปกราบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่งของไทย

แล้วก็อย่าลืมเดินชมจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่พระระเบียงรอบพระอุโบสถ ซึ่งเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก ก่อนจะไปไหว้พระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่รัชกาลที่ 4 ทรงได้มาจากลังกา และใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นพระมณฑป และพระพุทธปรางค์ปราสาทซึ่งมีการก่อสร้างแบบไทยงดงามยิ่งนัก


เจดีย์สี่รัชกาลที่วัดโพธิ์

วัดพระแก้วยังมีอะไรให้ชมอีกมากมาย แต่ตอนนี้ฉันต้องเดินทางต่อไปยัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์กันต่อ ที่วัดโพธิ์นี้ก็กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพระประธานในพระอุโบสถที่มีชื่อว่า พระพุทธเทวปฏิมากร ที่งดงามราวกับเทวดามาสร้างไว้ หรือพระพุทธไสยาสน์ ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ ก็เป็นพระนอนขนาดใหญ่ที่งดงาม ความยาวถึง 46 เมตร ที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างเป็นลายประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ หาชมไม่ได้ง่ายๆ และนอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปล้ำค่าอีกหลายองค์ภายในวัด

อย่าลืมไปสักการะเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4 และเจดีย์รายมากมายในบริเวณวัด ถ้ามีเวลาก็ลองเดินชมฤๅษีดัดตน รวมทั้งแผ่นศิลาที่จารึกตำรายาและโคลงกลอนต่างๆ พร้อมกับถ่ายรูปกับตุ๊กตาหินจีนขนาดเล็กขนาดใหญ่ที่มีอยู่มากมายภายในวัดโพธิ์

ข้ามฝั่งกลับไปอีกหนึ่งรอบ เพื่อไปยัง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เพื่อมาชมพระปรางค์วัดอรุณฯ ที่มีความสูงเกือบ 70 เมตร และเข้าไปกราบ "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" พระประธานในพระอุโบสถที่รัชกาลที่ 2 เป็นผู้ปั้นพระพักตร์ของพระประธานด้วยพระองค์เอง

มาถึงวัดแจ้งแล้วก็ต้องมาดูยักษ์วัดแจ้งสองตนที่ยืนเฝ้าซุ้มประตูพระอุโบสถอย่างแข็งขัน โดยยักษ์สองตนนั้นก็คือทศกัณฑ์ เป็นยักษ์กายสีเขียว ส่วนอีกตนหนึ่งชื่อว่าสหัสเดชะ เป็นยักษ์กายสีขาว นอกจากนั้น ที่นี่ก็ยังมีตุ๊กตาหินแบบจีนอยู่มากมายเช่นเดียวกัน โดยมีอยู่ทั้งรอบๆ พระอุโบสถ ระหว่างใบเสมาทั้ง 8 ซุ้ม และอยู่ด้านหน้าพระระเบียงที่ล้อมรอบอุโบสถ แถมยังมีพระเจดีย์หินแบบจีน และมีผู้วิเศษจีนแปดคน หรือที่เรียกว่าโป๊ยเซียน ตั้งอยู่ในซุ้มของเจดีย์นั้นทั้ง 8 ทิศด้วยกัน


กราบพระศาสดาแล้ว อย่าลืมชมภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถวัดสุวรรณาราม

มาต่อกันที่ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าวัดกัลยาฯ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินข้างเคียงเพิ่มเติมสร้างเป็นวัดขึ้น แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 3

วัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยพระประธานในพระวิหารหลวง คือหลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก หรือเรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือซำปอกง เป็นที่เคารพสักการะทั้งชาวไทยและชาวจีน ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกันกับวัดพนัญเชิงที่กรุงเก่า ส่วนด้านหน้าพระวิหารก็มีซุ้มประตูแบบจีนงดงามมากอีกด้วย

คราวนี้มาเปลี่ยนบรรยากาศจากแม่น้ำเจ้าพระยามาเป็นล่องคลองบางกอกน้อยเพื่อไปไหว้พระอีกสองวัดกันบ้าง เริ่มจาก “วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร” หรือชื่อเดิมว่า "วัดทอง" วัดแห่งนี้เคยเป็นแดนประหารชีวิตเฉลยศึกพม่านับพันคนในสมัยพระเจ้าตากสินด้วย


“พระประธานยิ้มรับฟ้า” ในวัดระฆังฯ

ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาวัดนี้ก็คือ พระอุโบสถศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มีพระศาสดา พระพุทธรูปหล่อสำริดปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยสุโขทัยอันงดงามเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และนอกจากนั้นแล้ว ภายในพระอุโบสถวัดสุวรรณารามยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังชั้นครู ที่เป็นการประชันฝีมือการวาดภาพกันระหว่าง อาจารย์ทองอยู่กับอาจารย์คงแป๊ะ ยอดจิตรกรยุคต้นรัตนโกสินทร์ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้จิตรกรมาวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเมื่อคราวที่บูรณะวัดแห่งนี้ ซึ่งแม้จนถึงวันนี้จิตรกรรมฝาผนังจะลบเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังคงมองเค้าของความสวยงามได้อยู่

และมาปิดท้ายกันที่ วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร หรือเดิมเรียกว่า “วัดหมู” เพราะเดิมนั้นบริเวณวัดแห่งนี้มีคนเลี้ยงหมูกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีหมูที่คนเอามาปล่อยที่วัดอีกต่างหาก ทำให้วัดนี้มีหมูเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มวัด

วัดแห่งนี้ถือเป็น “อันซีนบางกอก” เพราะแปลกตรงที่มีพระประธานในพระอุโบสถมากถึง 28 องค์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยตั้งอยู่บนฐานชุกชีเดียวกันลดหลั่นกันลงมา โดยเหตุที่ต้องมีพระประธานหลายองค์ก็หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นในชาติภพต่างๆแล้ว 27 พระองค์ ส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่หน้าสุดคือพระพุทธโคดม ที่เป็นพระศาสดาองค์ปัจจุบัน รวมทั้งหมด 28 พระองค์ และที่ฐานพระพุทธรูปมีพระนามจารึกด้วยงาช้างทุกองค์อีกด้วย

ก็เป็นอันจบเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ทางน้ำเพียงเท่านี้ เริ่มต้นปีใหม่กันด้วยบุญกุศลเช่นนี้ ก็หวังว่าปีนี้คงเป็นปีที่ดีสำหรับฉัน และสำหรับทุกๆ คนด้วยนะ

* * * * * * * * * * * * *


ไปข้างบน