หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook

ปรมาจารย์ตั๊กม้อ


“ปรมาจารย์ตักม้อ”

เป็นชื่อของปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดวิชามวยของ “วัดเส้าหลิน” อันมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ภาพยนต์จีนกำลังภายในมักจะนิยมนำเรื่องราวของการฝึกวิชาต่อสู้ของหลวงจีนวัดเส้าหลินมาอ้างอิงอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะการฝึกวิชาต่อสู้ของหลวงจีนเหล่านั้นมีความลึกลับพิศดารตื่นเต้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แถมชื่อของท่ามวยแต่ละกระบวนท่านั้นฟังดูแล้วก็แปลกพิสดารไม่แพ้กัน

“ปรมาจารย์ตักม้อ” นั้นเป็นชาวอินเดียครับ เล่ากันว่าเป็นโอรสของกษัตริย์อินเดียแคว้นหนึ่งทีเดียวนะครับ ก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนานั้นท่านเป็นนักรบที่เก่งกาจมาก ต่อมาไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงออกบวชเสียยังงั้นแหล่ะ บางทีท่านอาจจะได้ดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ก็เบื่อการรบราฆ่าฟันกันเต็มทีจึงออกบวชเพื่อแสวงหาความสงบสุขทางใจบ้าง น่ายกย่องนะครับ

คำว่า “ปรมาจารย์ตักม้อ” นั้นเป็นคำเรียกในภาษาจีนครับ “ปรมะ” หรือ “ปรมา” นั้นมาจากคำว่า “บรม” ซึ่งแปลว่า “ยิ่งใหญ่” ดังนั้นคำว่า ปรมาจารย์ตักม้อ จึงหมายถึง อาจารย์หรือครูผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีนามว่า “ตักม้อ” นั่นเอง คำว่าตักม้อนี้ชาวจีนเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า “ตะโม” เพราะนามเดิมของท่านในภาษาอินเดียเรียกว่า “ตะโมภิกขุ” (ภาษาไทยเรียกท่านว่า พระโพธิธรรม) พอไปอยู่เมืองจีนจึงกลายเป็น “ตักม้อ” ไป ครั้นพอมาถึงเมืองไทยก็มีผู้เติม “ไม้ตรี” เข้า ไปอีกตัวหนึ่งจึงกลายเป็น “ตั๊กม้อ” ไปด้วยประการฉะนี้ ต่อไปนี้ผมจึงขออนุญาตเรียกนามท่านปรมาจารย์ตักม้อในหนังสือเล่มนี้ว่า “อาจารย์ตั๊กม้อ” ก็แล้วกันนะครับ ฟังแล้วค่อยคุ้นหูเป็นสำนวนแบบไทยๆ สักหน่อย

เนื่องจากท่านอาจารย์ตั๊กม้อเป็นชาวดินเดียจึงมีผิวกายดำคล้ำและมีเส้นผมหยิกงอ ดังนั้น ภาพของท่านในสายตาของชาวจีนจึงดุร้ายน่ากลัวราวกับโจรผู้ร้ายทีเดียวเชียวละครับ ภาพการ์ตูนของผมก็เลยต้องวาดให้มีลักษณะดุดันตามไปด้วย แต่ความจริงแล้วอาจารย์ตั๊กม้อท่านเป็นคนดีเป็นฝ่ายธรรมะครับ ถ้าไม่ดีจริงคงไม่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาและไม่สามารถเดินทางไปเผยแพร่ธรรมะในประเทศจีนจนแพร่หลาย เป็นที่เคารพยกย่องของชาวจีนเป็นจำนวนมากมานานนับเป็นพัน ๆ ปีทีเดียว แสดงว่าคนดีนั้นไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เสมอไป คนรูปชั่วใจดีมีถมไป ส่วนคนที่รูปงามแต่จิตใจชั่วร้ายก็มีมากเหมือนกัน ต้องคอยระวังกันให้ดีก็แล้วกันนะครับ


“ปรมาจารย์ตักม้อ”

เรื่องราวของอาจารย์ตั๊กม้อที่เด่นดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไปมีอยู่มากมายหลายเรื่องผมจะขอเล่าให้ฟังสักสองสามเรื่องนะครับ แต่ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะทราบเรื่องราวให้มากไปกว่าที่ผมเล่าก็ต้องไปค้นคว้าหาอ่านเพิ่มเติมกันเองครับ

เรื่องแรกซึ่งเล่าขานเกี่ยวกับความเก่งกล้าสามารถของอาจารย์ตั๊กม้อนั้นคือในสมัยแรกที่ท่านเดินทางจากประเทศอินเดียไปยังประเทศจีนนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องเดินทางข้ามลำน้ำแต่ไม่สามารถจะหาเรือนั่งข้ามไปได้ ท่านอาจารย์ตั๊กม้อจึงแสดงอภินิหารข้ามลำน้ำด้วยวิธีอันน่าตื่นเต้นพิสดารคือ ท่านหักต้นอ้อท่อนหนึ่งโยนลงไปในน้ำแล้วโดดลงไปยืนเหยียบอยู่บนต้นอ้อต้นนั้นอาศัยเป็นเรือพาท่านลอยข้ามลำน้ำไปขึ้นยังอีกฝั่งหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างพากันแตกตื่นเลื่อมใสในความสามารถของท่านและเล่าขานเรื่องนี้สืบต่อ ๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้

เรื่องที่สองคือ เมื่อท่านเดินทางไปถึงประเทศจีนใหม่ๆ ชาวจีนที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้นยังไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงหลักธรรมที่แท้จริง ต่างแบ่งแยกกันออกเป็นนิกายต่างๆมากมายและ ปฏิบัติธรรมผิดออกไปจากคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นท่านเป็นพระที่เดินทางมาจากอินเดียซึ่งเป็นแดนพุทธภูมิจึงพากันมาตั้งคำถามและลองภูมิท่านจนรู้สึกรำคาญ ท่านอาจารย์ตั๊กม้อคงอิดหนาระอาใจมากจึงนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาผนังหินในถ้ำไม่ยอมพูดจากับใครเป็นเวลานานถึง 9 ปี เล่นเอาพวกที่ชอบไปอวดรู้ลองภูมิพากันหลบฉากหนีหน้าไปเพราะแตกตื่นในวิธีการนั่งสมาธิแบบพิสดารของพระจากเมืองอินเดีย ส่วนคนที่เลื่อมใสก็พากันเข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์เรียนธรรมะกับท่านจนกลายเป็นหลวงจีนวัดเส้าหลินอันมีชื่อเสียงโด่งดังสืบต่อ ๆ กันมานั่นแหล่ะครับ

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์ตั๊กม้อใช้วิทยายุทธปราบคนพาลอภิบาลคนดีจนมีคนเคารพเลื่อมใสมากมายทั่วไปในเมืองจีน คือตอนที่ท่านเดินทางธุดงค์จาริกไปทั่วเมืองจีนนั้นได้ช่วยเหลือปราบปรามโจรผู้ร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านด้วยวิชาการต่อสู้อันแปลกพิสดารที่ท่านได้เรียนรู้ไปจากอินเดีย นอกจากนั้นท่านยังได้รวบรวมบันทึกเคล็ดวิชาในการฝึกการต่อสู้อันสุดแสนจะพิสดารต่าง ๆ รวมเข้าไว้เป็นคัมภีร์เล่มหนึ่ง เรียกว่า “คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง” คัมภีร์เล่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ท่อน ท่อนแรกเรียกว่า “คัมภีร์ท่อนบน” บันทึกวิชาฝึกความแข็งแรงของร่างกาย (ฝึกโยคะ) และการต่อสู้ไว้ 72 กระบวนท่า ท่อนที่สองเรียกว่า “คัมภีร์ท่อนล่าง” บันทึกเคล็ดวิชาต้องห้าม (วิชามาร) เอาไว้ 36 กระบวนท่า เคล็ดวิชามารเหล่านี้เป็นแนวทางการฝึกวิทยายุทธของคนที่เหี้ยมโหดชั่วร้ายซึ่งพ่ายแพ้แก่ฝีมือของท่าน อาจารย์ตั๊กม้อจึงยึดเอามารวมไว้เป็นคัมภีร์ท่อนล่างและกำหนดให้เป็น “วิชาต้องห้าม” คือห้ามมิให้ฝึกเนื่องจากวิธีการฝึกนั้นผิดทั้งครรลองคลองธรรมและผิดศีลธรรมจึงเก็บซ่อนคัมภีร์ท่อนล่างไว้อย่างมิดชิด ภายหลังจากท่านอาจารย์ตั๊กม้อมรณภาพไปแล้ว ได้มีผู้ลอบโขมยคัมภีร์ท่อนล่างนี้ออกมาจากวัดเส้าหลินและหายสาบสูญไปในที่สุด


ไปข้างบน