เที่ยว “อุทยานหุ่นขี้ผึ้งพระสงฆ์สยาม” สุขกาย เพลินใจ ได้ความรู้
พระพุทธรูปกลางแจ้งในลานพระ 3 สมัย
อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม มีพื้นที่ 42 ไร่ มีหุ่นขี้ผึ้งกว่า 50 ตัว รวมไปถึงงานประติมากรรมปูนปั้นประเภทต่างๆ อย่างที่บริเวณลานจอดรถตรงทางเข้าก็จะมีรูปปั้นของพระพิฆเนศวรให้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าชมอุทยานฯก็ว่าได้
จากนั้นเมื่อเดินลึกเข้าไปจะเป็นจุดขายบัตร ซึ่งถือว่าเป็นหน้าด่านที่แท้จริง สำหรับราคาบัตรก็ถือว่าไม่แพงจนเกินไปสำหรับคนไทย
ผืนดินแห่งนี้เดิมมีสภาพเป็นทุ่งนาและป่าเมื่อนำมาทำเป็นอุทยานฯ ทางเจ้าของผู้ก่อตั้งก็ได้เลี่ยงต้นไม้ใหญ่ให้คงอยู่ในสภาพเดิมกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มีบางส่วนที่ปลูกเพิ่ม เช่น ต้นประดู่ ต้นจั๋งจีน และพืชจำพวกสมุนไพรบางส่วนเท่านั้น
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในกุฏิพระสงฆ์ภาคกลาง
ส่วนที่เที่ยวภายในแบ่งเป็นจุดเที่ยวทั้งหมด 6 จุด ด้วยกัน เริ่มจากจุดแรกเมื่อผ่านด่านจำหน่ายบัตรเข้ามาแล้วที่จะได้พบก็คือส่วนของ "อาคารเชิดชูเกียรติ" ซึ่งเป็นอาคารที่นำเสนอเรื่องราวรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสของบุคคลสำคัญท่านต่างๆพร้อมเกียรติประวัติ คุณค่าความดี ที่เป็นแบบอย่างทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ภายในอาคารแบ่งเป็น 2 ชั้น แต่ขณะนี้เปิดให้เข้าชมเฉพาะชั้นแรกเท่านั้น ก่อนจะเข้าไปชมหุ่นขี้ผึ้งของท่านต่างๆ จะเจอรูปถ่ายพร้อมชีวประวัติโดยย่อแปะไว้ให้อ่านเป็นข้อมูลพื้นฐานตรงบริเวณทางเดิน เมื่อเข้าไปบุคคลสำคัญท่านแรกที่เราจะได้พบคือ
เด็กๆให้ความสนใจกับหุ่นขี้ผึ้งของ ครูมนตรี ตราโมท
ศ.มล.ปิ่น มาลากุล ผู้มีบทบาทในเรื่องการศึกษา และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์บรรยากาศจำลองจากห้องทำงาน ศ.มล.ปิ่น อยู่ในท่านั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างยิ้มแย้ม ใครที่ไม่มีความรู้มาก่อนหรือมาเที่ยวเพียงลำพังก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะระหว่างที่เราเดินดูในแต่ละห้องนั้น จะมีระบบบรรยายเสียง 2 ภาษา ไทย-อังกฤษ คอยให้ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
ในห้องถัดมาก็จะพบ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ลักษณะของหุ่นไกด์สาวสวยผู้นำทางบอกเสียงดังฟังชัดว่าได้มาจากคำบอกเล่าของลูกชาย อีกห้องถัดมาติดๆกันเป็นห้องของ ศ.ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ระหว่างทางที่เดินนั้นเราก็พบม้านั่งอยู่ตัวหนึ่งมีคุณลุงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อย่างสบายอารมณ์พยายามเพ่งพินิจมองอยู่เหมือนกันว่าเอ...แกเป็นบุคคลสำคัญที่เราหลงลืมไปหรือเปล่าหว่า และเหมือนไกด์สาวของเราจะล่วงรู้ความในจึงเล่าให้ฟังว่าหุ่นขี้ผึ้งตัวนี้จำลองแบบมาจากช่างปั้นท่านหนึ่งชื่อ อ.โต ขำเดช ที่สร้างขึ้นเพื่อไว้หลอกคนดูให้เดาว่าเป็นหุ่นหรือคนจริงๆ
ในห้องต่อมาก็เป็นห้องของ ครูมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติซึ่งกำลังนั่งอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดแต่งบทเพลงบนโต๊ะตัวโปรดที่ได้รับความอนุเคราะห์มาจากทายาทของท่าน ส่วนลักษณะของแบบบ้านที่จำลองนั้นก็คือเป็นบ้านโสมส่องแสงของท่านนั้นเอง
หุ่นขี้ผึ้งในถ้ำชาดก
นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นขี้ผึ้งของ สืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษแห่งผืนป่าห้วยขาแข้ง และบุคคลสำคัญระดับโลกอย่าง โฮจิมินท์ ผู้นำคนสำคัญของเวียดนาม แม่ชีเทเรซ่า เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 1972 เหมาเจ๋อตุง กับเติ้งเสี่ยวผิง นั่งสนทนากันในห้องซึ่งไกด์ของเราเรียกว่า "คู่คิดปฏิวัติ" ทั้งนี้ระหว่างที่ออกจากอาคารเชิดชูเกียรติเพื่อจะไปชมยังจุดที่ 2 นั้นไกด์สาวก็ได้ชี้ชวนให้ดูสิ่งที่เรียกว่าเป็น อันซีนของอุทยานนั้นก็คือ "ต้นโพธิ์อุ้มตาล" ที่ยืนต้นสูงตระหง่านสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้มาเยือน
จากนั้นเราจึงเข้าสู่จุดที่ 2 คือ "ลานพระสามสมัย" ที่ภายในมีผลงานประติมากรรมพระพุทธรูป 3 สมัย ทั้ง เชียงแสน สุโขทัย และอยุธยา ซึ่งการสร้างองค์พระแต่ละรูป เกิดจากความศรัทธาของกลุ่มช่างปั้น องค์พระมีขนาด 6 ศอก 9 นิ้ว (129นิ้ว)หล่อด้วยทองเหลืองและรมดำ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของไม้ใหญ่
รูปปั้นผู้หญิงนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกในบ้านไทยภาคกลาง
หลังไหว้พระขอพรเสร็จแล้ว ไกด์ก็พากลุ่มเด็กนักเรียนบวกกับเด็กโข่งอย่างเราไปชมยังจุดต่อไปที่เรียกว่า "ถ้ำชาดก" เป็นถ้ำจำลองจัดแสดงแสงเสียงเกี่ยวกับพระชาติสุดท้ายของพระเวสสันดร เรื่องการให้ทานอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งใช้หุ่นขี้ผึ้งในการเล่าเรื่อง อย่างตอนชูชกขอสองกุมารหรือตอนชูชกท้องแตกตาย อันนี้แหละทำได้เหมือนจนอดขนลุกไม่ได้ แต่เด็กๆ ไม่ยักกะกลัวบางคนพอไกด์เผลอก็เอามือไปจิ้มไส้ชูชกเล่นก็มี
เดินมาได้เพียงไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกเหนื่อยแล้วพอดีที่เดินถึงจุดพักที่ชื่อว่า "บ้านน้ำสมุนไพร" แวะกินน้ำกินท่านั่งพักสักครู่ จากนั้นจึงรุดหน้าต่อไปยัง "กุฏิพระสงฆ์" ที่มีลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยแบ่งเป็น 4 ภาคและมี "หอสวดมนต์" ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เข้าเรือนด้วยการเข้าไม้แบบมอญชั้นบนมีพระอริยสงฆ์กำลังทำวัตรอยู่หลายรูป
ในส่วนของกุฏินั้นจะมีหุ่นขี้ผึ้งของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในไทยกุฏิละ 2 รูป อย่างเช่น กุฏิพระภาคกลางก็จะมีหุ่นขี้ผึ้งของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโนทัย) ตั้งแสดงอยู่บนเรือน งานนี้ไหว้ซ้ายที ขวาที มือเป็นระวิงขอพรจนไม่รู้จะขออะไร
ทัศนียภาพอันร่มรื่นภายในอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม
มาถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ารอบด้านมีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเอกา ตายล่ะ!หลงกับไกด์สุดสวยและพวกเด็กๆ เข้าแล้วสิ แต่ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ไม่มีความรู้สึกกลัวหุ่นขี้ผึ้งหลงเหลืออีกแล้ว ฉะนั้นเดินดูเองก็ได้สบายมาก จึงเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ไปพลางเดินเล่นฟังเสียงเพลงบรรเลงที่ทางอุทยานเปิดไว้ให้อินกับบรรยากาศโดยแอบซุกซ่อนเครื่องเสียงไว้ตามขอนไม้จำลองริมทาง
จนมาโผล่ที่ "บ้านไทย 4 ภาค" ซึ่งจำลองตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดจาก 4 ภาค ของไทย สะท้อนถึงเรื่องราวของวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของแต่ละภาค โดยใช้หุ่นขี้ผึ้งเป็นตัวเหล่าเรื่องให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละภาคได้อย่างลงตัว
เมื่อได้เวลาอันสมควรซึ่งก็คือเวลาใกล้ปิดทำการนั้นเอง จึงได้เวลาล่ำลาอุทยานฯกลับบ้านเสียที ด้วยการเข้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ "ลานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสุดท้ายของอุทยาน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์นี้ อยู่ใน ลักษณะท่านั่งที่เรียกว่าปางมหาราชลีลาเป็นปางสุดท้ายที่เป็นชายก่อนมาเป็นเจ้าแม่กวนอิม มีขนาดความสูง 3.5 เมตร
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา
การเดินทางมา "อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม" จ .ราชบุรี ให้วิ่งมาตามเส้นถนนเพชรเกษม จนถึง 4 แยกบางแพแล้วเลี้ยวไปทางที่จะไป อ.ดำเนินสะดวก ขับเลยแยกมาไม่ไกลจะเจอ "วัดหลวง" อยู่ฝั่งซ้ายมือเตรียมกลับรถ อุทยานตั้งอยู่เยื้องๆ วัดฝั่งขวามือ
อัตราค่าเข้าชมอุทยานฯ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็กและพระสงฆ์ 20 บาท ส่วนชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท เวลาจำหน่ายบัตร วันจันทร์-วันศุกร์ 09.00-16.30น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์เปิด 08.30-17.00น. ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.0-3238-1401-3
|