เดินด้วยใจ
"กัมบ๊ะเต๊ะ"
เสียงตะโกนดังมาจากรถคันหนึ่งซึ่งแล่นสวนกับเราครั้นเหลียวไปดูก็พบว่าเป็นเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๐ ขวบดี คนขับคงจะเป็นแม่ แต่ไม่ทันที่เราจะยิ้มให้ รถก็แล่นผ่านเราไปเสียแล้ว
ใครที่เคยดูหนังโทรทัศน์ชุด "มดเอ๊กซ์" คงจำได้ว่าตอนจบตัวเอกมักจะพูดทำนองว่า "สู้ต่อไป" วลีสั้นๆ นี้แหละคือสิ่งที่เด็กตัวน้อยต้องการบอกกับเรา
เขาไม่ได้คิดว่าเราเป็นพลพรรคของมดเอ๊กซ์ดอกถึงพูดเช่นนั้น (แม้ว่าเครื่องแต่งกายหรือจีวรของเราจะต่างจากของคนทั่วไปก็ตาม) เขาเพียงแต่ต้องการให้กำลังใจเราเพราะรู้ว่าเรากำลังธุดงค์
ถ้าเป็นที่เมืองไทย เด็กน้อยคงจะพูดว่า "ขอให้โชคดี" แต่ที่ญี่ปุ่นเขาจะไม่ขอให้เราหวังโชค หากแต่อยากให้พึ่งความเพียรของตัวเอง ดังนั้นเวลาจะแสดงความปรารถนาดีกับใครก็จะขอให้มีกำลังที่จะ "ลุย" ต่อไป
นี่เป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งของการเดินธุดงค์ในญี่ปุ่น จุดหมายคือเซนโกจิวัดคู่บ้านคู่เมืองในจังหวัดนากาโน่ ซึ่งมีพระพุทธรูปยุคสุโขทัยประดิษฐานอยู่ด้วย
ที่จริงระยะทางเกือบ 90 กิโลเมตรจัดว่าไม่ไกลเท่าไรเพราะสั้นกว่าช่วงกรุงเทพฯ-สระบุรีเสียอีก แต่ถ้าหากต้องพึ่งกำลังเท้าของตัวเอง ระยะทางขนาดนี้เห็นจะต้องเดินหลายวัน
เรากำหนดเวลาให้ตัวเองไว้หกวันครึ่ง ไม่ต้องรีบเร่งเกินไป แต่ก็ใช่ว่าจะสบายนักเดินได้แค่ 3-4 วัน ก็ต้องเปลี่ยนรองเท้าเสียแล้ว เพราะเท้าทั้งสองข้างถูกกัดถูกกระแทกจนน่ากลัวว่าจะไปไม่ถึงที่หมายตามกำหนด
ทำไมต้องเดินด้วย ในเมื่อมีรถมากมายที่พร้อมจะพาไปส่งถึงจุดหมาย?
เราเลือกที่จะเดินเพราะสารัตถะที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่จุดหมายข้างหน้า แต่อยู่ที่ การเดิน ต่างหาก
ในชีวิตเราบ่อยครั้งที่พบว่าผลบั้นปลายนั้น
ไม่สำคัญเท่ากับการกระทำที่พาไปสู่ผลนั้น
เป็นเพราะเดี๋ยวนี้ผู้คนสนใจแต่จุดหมาย
จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิธีการเท่าไร
เราต้องการให้งานเสร็จไวๆจึงโหมทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จะขัดแย้งกับใครก็ไม่สนใจ ขอให้งานเสร็จเป็นใช้ได้
ผลก็คือถึงแม้งานจะสำเร็จแต่ชีวิตกลับล้มเหลว เพราะทะเลาะกับคนไปทั่ว แถมโรคสารพัดยังกัดกินเอา ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคประสาท หรือโรคนอนไม่หลับ
เมื่อเราตัดสินใจที่จะเดินทางไกลด้วยขาทั้งสอง นั่นหมายความว่านอกจากเราจะต้องมีเวลาแล้ว เรายังต้องเดินให้เป็น
การ เดินได้ กับการ เดินเป็น นั้นไม่เหมือนกัน คนเป็นอันมากรู้จักแต่การพากายไปข้างหน้าด้วยขาทั้งสอง แต่ถ้าจะต้องเดินไกลแล้วไม่นานก็เหนื่อยและทุกข์
การ เดินเป็น นั้นหมายถึงการเดินไกลได้โดยไม่เหนื่อยง่าย และที่สำคัญแม้กายจะเพลีย แต่ใจไม่เหนื่อยและไม่ทุกข์
การเดินให้เป็นจึงต้องเริ่มต้นด้วยการไม่แข่งกับเวลา เวลาไม่ได้เป็นคู่แข่งที่เราจะต้องเอาชนะให้ได้ แท้ที่จริงเวลาเป็นเพื่อนของเราต่างหาก ถ้าเรารู้จักเดินโดย "กอดคอ" ไปกับเวลาหรือก้าวเดินอย่างสอดคล้องกับจังหวะของกาลเวลา เราจะเหนื่อยได้อย่างไร
สาเหตุที่ใครต่อใครพากันเหน็ดเหนื่อย ทั้งๆ ที่ยังเดินได้ไม่เท่าไร ก็เพราะคิดจะแข่งกับเวลากันทั้งนั้น การเดินทวนน้ำย่อมต้องใช้เรี่ยวแรงมากกว่าการเดินตามน้ำเป็นไหนๆ
จริงอยู่ ชีวิตต้องมีกำหนดหมาย แต่เมื่อนัดหมายกำหนดเวลาไว้เสร็จสรรพแล้ว ถึงคราวจะลงมือทำก็ละวางกำหนดหมายไว้ก่อน หลงลืมเวลาไปเสียบ้างก็ย่อมได้ จะได้ไม่ต้องมี "คู่แข่ง" มาคอยเผาใจให้ร้อนรน
หันมาใส่ใจกับการกระทำเฉพาะหน้าอย่างเต็มที่
ถ้าทำงานเป็นเราจะรู้จักแสวงหาความสุขจากการงานนั้นได้ โดยไม่ต้องคอยเสพเสวยผลของงาน หรือตั้งหน้ารอคอยว่าเมื่อไรงานจะเสร็จเสียที หากแต่ตักตวงความสุขระหว่างที่กำลังทำงานนั้นเลย
เมื่อถึงคราวที่ต้องเดินทางไกล ความเหนื่อยความทุกข์จากการมุ่งมั่นจะไปให้ถึงที่หมายไวๆจะสอนเราเองในที่สุดว่า ค่อยๆ เดินนั่นแหละเป็นเคล็ดลับอันดับหนึ่งในการเดินให้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็วที่สุด
คนที่โหมเดินตั้งแต่ชั่วโมงแรกและวันแรก โดยไม่รู้จักหยุดพักหรือชะลอฝีเท้าเท้านั้นภายใน 2-3 วันแรกเท่านั้นก็จะเหนื่อย เคล็ดขัดยอก และปวดสารพัดจนแทบขาลากและในที่สุดอาจจะต้องหยุดกลางคัน
ขณะที่คนซึ่งค่อยๆ เดิน หยุดพักวันละหลายครั้ง ยังเดินรุดหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ จนถึงที่หมายก่อนใครๆ
นักเดินทางข้ามทวีป ล้วนเห็นคุณค่าของการหยุดเพื่อเดินได้ต่อไปโดยไม่สะดุดหยุดกับที่ ส่วนนักเดินหน้าใหม่ เดินโดยไม่หยุดเพียงเพื่อจะพบว่าในที่สุดตัวเองนั่นแหละคือคนสุดท้ายที่ถึงเป้าหมาย หากไม่แขวนรองเท้าเสียก่อน
ความจริงของชีวิตประการหนึ่งคือ ยิ่งต้องการไปให้ถึงไวๆ กลับถึงทีหลัง ส่วนคนที่ไม่เร่งรีบ กลับถึงก่อนใคร ๆ
คนเราจะวางใจจน "ค่อยๆ เดิน" ได้ก็เพราะใจไม่ได้ไปจดจ่อกับจุดหมาย
ไม่ใช่ว่าไม่อยากถึง หากแต่รู้ว่าคนเราจะถึงที่หมายได้ ไม่ใช่ด้วยการคิดหรืออยากจะให้ถึง แต่ต้องด้วยการลงมือเดินและเดินให้ต่อเนื่อง
นักเดินทางผู้จัดเจนย่อมรู้ว่าจุดหมายมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ที่ปลายเท้านั่นเอง ถ้าปลายเท้าไม่ขยับจะถึงจุดหมายได้อย่างไร พูดอย่างครูบาอาจารย์บางท่าน ก็ต้องว่า เดินเมื่อไร ก็ถึงเมื่อนั้น
ถ้าใจไม่จดจ่อกับจุดหมายเสียแล้ว ความคิดที่จะแข่งกับเวลาก็เลือนหายไปเอง ความเพลิดเพลินจะมาแทนที่ เพราะใจที่จดจ่ออยู่กับการกระทำ โดยไม่พะวงไปถึงจุดหมายข้างหน้า หรือคอยเร่งเร้าให้เสร็จไวๆ ย่อมได้สมาธิเป็นผลตอบแทน
ถ้าเดินเป็น รู้จักทำใจให้อิงแอบแนบแน่นกับการเดิน ไม่สนใจว่าจะถึงเมื่อไร ก็ย่อมได้ความสุขระหว่างที่เดินนั้นเอง แม้จะอยู่ห่างไกลจากจุดหมายก็ตาม พูดง่ายๆ ก็คือแม้จะยังไม่สำเร็จ ความสุขก็เผล็ดผลแล้ว
ความสุขระหว่างที่ก้าวเดิน มิได้เป็นผลจากใจที่แนบสนิทกับการเดินเท่านั้น หากยังเกิดจากประสบการณ์รอบตัว เวลานั่งรถเราแทบจะไม่มีเวลาพิจารณาทัศนียภาพตามรายทางทุกอย่างผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเราเดินธุดงค์ เวลากลับเหลือเฟือที่จะเอื้อให้เราพินิจความงามที่ธรรมชาติเติมแต่งสองข้างทาง แต่ละสิ่งแต่ละอย่างผ่านเราไปอย่างช้าๆ เปิดโอกาสให้เราชื่นชมรายละเอียดของดอกไม้ริมทาง สังเกตเห็นความหลากหลายของไม้นานาพรรณในป่า ได้ยินเสียงเสนาะใสของนกที่เพรียกหาคู
ได้ทักทายกับนักเรียนตัวน้อยที่กำลังเดินกลับโรงเรียน อีกทั้งเห็นชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำ บ้างกำลังตกปลา ส่วนคนข้างหน้ากำลังรดน้ำผัก และโน่นครอบครัวเล็กๆ กำลังนั่งปิคนิคกัน
นานแล้วที่เราไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวเหล่านี้ เพราะใจพุ่งไปที่จุดหมายอันไกลโพ้น ตาเลยมองไปแต่ข้างหน้า หูเลยไม่ได้ยินอะไรและเท้าก็ก้าวเดินราวกับแบกโลกทั้งโลกเอาไว้
หลายคนฝากความสุขสมหวังไว้ข้างหน้า แต่ขณะที่เดินนั้นเองกลับเหนื่อยยากทั้งใจและกาย
เรายอมทุกข์ในปัจจุบัน เพราะปรารถนาความสุขในอนาคต แต่เป็นไปไม่ได้หรือที่เราจะเป็นสุข
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในระหว่างที่ก้าวเดินและเมื่อถึงจุดหมายแล้ว
อดเปรี้ยวไว้กินหวานเป็นเรื่องดี แต่บ่อยครั้งรสหวานก็รอให้เราชิมอยู่แล้ว หากแต่เราไม่สังเกตเอง
นักเดินแม้จะถูกแดดแผดเผา ลมหนาวพัดกระหน่ำ แต่ก็แสวงหาความสุขได้ระหว่างที่เดิน
ผู้จัดเจนในการเดินเท้าอาจท่องมนต์ในใจ หรือไม่ก็เปล่งเสียงพร้อมตีกลองเป็นจังหวะ
คนภายนอกอาจมองว่า การทำเช่นนี้นั้นบั่นทอนกำลัง แต่ที่จริงกลับทำให้เดินได้ไม่เหนื่อย เพราะเมื่อจิตไปกำหนดที่มนตราคาถา ใจก็เลิกพะวงกับจุดหมาย บังเกิดเป็นสมาธิและความผ่อนคลาย
จิตเมื่อผ่อนคลายเสียแล้ว ก็เข้าถึงความงดงามตามรายทางได้ง่าย แม้ว่าจะอยู่กลางเมืองใหญ่อันอึกทึกและสกปรก แต่เราไม่เคยสังเกตเห็นตะไคร่น้ำอันเขียวสดริมกำแพงเลยหรือ เด็กที่หัวเราะระริกซิกซี้ข้างถนนไม่ช่วยให้เราเบิกบานใจเลยหรือ
เราเดินอย่างไร เราก็ดำเนินชีวิตอย่างนั้น
ถ้าเอาแต่เดิน โดยวางใจไม่เป็นคิดแต่จะไปให้ถึงจุดหมายไวๆ ชีวิตของเราก็จะดำเนินไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะหมดเปลืองไปกับการมุ่งมั่นทำงานโดยหวังคอยผลสำเร็จ
แต่กลับมีความทุกข์ระหว่างที่ทำงานนั้น
ต่อเมื่อเดินเป็น รู้จักวางใจให้ประสานสอดคล้องไปกับเท้าที่ก้าวเดิน และกลมกลืนไปกับกาลเวลา ชีวิตของเราก็จะผ่อนคลายและเป็นสุขได้แม้ในระหว่างที่ทำงาน
ผู้จัดเจนในการเดินนั้นไม่ได้เดินด้วยเท้าอย่างเดียว หากยังเดินด้วยใจไปพร้อมกันด้วย
จิตวิญญาณเช่นนี้จะเข้าถึงได้ก็ด้วยการลงมือเดินเท่านั้น น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เราถือรถยนต์เป็นสรณะเพราะสนใจแต่จะไปให้ถึงจุดหมายไวๆ เราจึงเดินกันไม่เป็นเสียแล้ว
ไม่สายเกินไปที่เราจะหัดเดินกันใหม่ ไม่ว่าในเมืองเล็ก ป่าใหญ่ หลังเขา หรือกลางมหานคร ล้วนมีถนนทอดยาวรอให้เราเดินเพื่อเข้าถึงศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต เมินรถเสียบ้าง
หันมาพึ่งเท้าทั้งสองเพื่อฝึกใจให้ไปด้วยกัน รอบตัวเรามีหลายอย่างที่น่าเรียนรู้และชวนให้ประสบสัมผัสเสมอ
"สู้ต่อไป"
ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการกัดฟันสู้
เพื่อหวังรสหวานข้างหน้าเสมอไป
การทำไปด้วย สุขไปด้วย
ก็ทำให้เรามีกำลังสู้ต่อไปไม่หยุดหย่อน
…ได้เหมือนกัน
จากหนังสือ "พรแห่งชีวิต" งานเขียนโดย....พระไพศาล วิสาโล
|