หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

คำถามสามวันสุดท้าย


"ถ้าอีก 3 วันโลกจะแตก จะทำอย่างไรดีกับเวลาที่เหลืออยู่ ?"

ไหน ๆ ก็ลือกันให้แซดแล้วว่าโลกจะแตกภายในปีนั้นปีนี้ น่าจะลองถามตัวเองด้วยประโยคข้างบนดูบ้าง เผื่อว่าหากโลกจะต้องแตกจริง ๆ จะได้รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ไม่ต้องแตกตื่นลนลานจนลืมตัว

โจทย์ข้อนี้จะตอบเล่น ๆ ดูก็ได้ แต่ถ้าใส่ใจใคร่ครวญก่อนตอบ ก็น่าจะได้ประโยชน์กับตัวเองไม่มากก็น้อย

คำถามนี้เคยเอาไปถามหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคน จำนวนมากบอกว่าจะเร่งทำบุญ กลับไปหาพ่อแม่ ร่ำลาญาติมิตร ขอขมาลาโทษ ที่ตอบว่าจะเสพสุขให้เต็มที่ รีบหาคู่ อยู่กับคนรัก ก็มีไม่น้อย

แม้จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนอยากทำอะไรต่ออะไรตั้งหลายอย่าง จนไม่มีทางจะทำให้ครบหรือเสร็จได้ภายใน 3 วัน

บางคนก็เลือกทำไม่กี่อย่าง แต่ก็ขัดแย้งกันเอง เช่น อยากเข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วย อยากหาเมียด้วย ขืนทำทั้งสองอย่าง ไม่ว่าจะทำพร้อม ๆ กัน หรือสลับคนละวัน ก็คงจะได้ผล คือ "เบลอร์"


อันที่จริงเวลาแค่ 3 วัน อย่าว่าแต่ทำ 2 อย่างที่ว่าเลย แค่อย่างเดียว ก็ทำได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทั้งคู่

คุณล่ะ ตอบได้แล้วยังว่าจะทำอะไรบ้าง ลองเขียนรายการสิ่งที่อยากทำ ภายใน 5-10 นาที คุณอาจพบว่าสิ่งที่อยากทำในวาระสุดท้ายของโลก(และชีวิตของคุณ)นั้นมีมากมาย ไม่ต่างจากหนุ่มสาวข้างบน

และถึงแม้ในที่สุดคุณตัดสินใจเลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียง 2-3 อย่าง เวลา 3 วันก็อาจไม่พอสำหรับการทำทุกอย่างให้เสร็จดังใจ



สรุปก็คือ เวลา 3 วันนั้น
น้อยเกินไปที่จะทำอะไรให้ครบถ้วนได้

แต่จริงหรือที่ว่า เวลา 3 วันนั้นน้อยเกินไป !

ในชีวิตจริง เวลา 3 วันต้องถือว่ามากทีเดียว มีกี่คนในโลกนี้ที่รู้ตัวล่วงหน้าถึง 3 วันว่าวาระสุดท้ายของตนกำลังจะมาถึง ยิ่งคนที่รู้และมีโอกาสใช้เวลาที่เหลือน้อยนั้น ให้คุ้มค่า ยิ่งมีน้อยลงไปอีก

นักโทษประหารอาจเดาไว้ว่าตัวเองมีเวลาหลงเหลืออยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าใด แต่ก็ไม่มีเสรีภาพจะทำสิ่งที่ต้องการแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งระดับ 3 อาจรู้ว่าตนเองจะต้องตายในเร็ววัน แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้

ทุกคนได้แต่คาดเดา ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะตายเมื่อไร อย่าว่าแต่เวลา 3 วันเลย หากรู้ล่วงหน้าแค่ 1 ชั่วโมง ก็นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว มีหลายคนขอเวลาน้อยกว่านั้นอีก แต่ก็ยังถูกปฏิเสธ

หลังจากที่ลงทุนไปหลายหมื่นล้านบาท เสียเวลาไปนับสิบปี นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถทำนายแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้แม้เพียงแค่ 1 นาที เพราะฉะนั้นจะไม่ดีกว่าหรือหากเราขนเอาสิ่งที่อยากทำในช่วง 3 วันสุดท้าย มาทำเสียแต่วันนี้

"วันนี้" คือห้วงเวลาที่เราเป็นเจ้าของ ส่วน"พรุ่งนี้" ไม่มีใครรู้ว่าตัวจะได้เห็นหรือไม่ ที่แน่ ๆ ก็คือหากเราเริ่มเสียแต่วันนี้ เราอาจมีเวลามากกว่า 3 วันที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่อยากทำ




ปัญหาก็คือ จะเอาสิ่งที่อยากทำในช่วง 3 วันสุดท้ายนั้น มาทำเสียแต่วันนี้ได้อย่างไร เพราะทุกวันนี้ ก็มีอะไรต่ออะไรต้องทำมากมาย จนแทบหาเวลาว่างไม่ได้อยู่แล้ว

มาถึงตรงนี้หลายคนก็พบว่า ที่ตัวเองมีภารกิจที่จะต้องทำมากมายในช่วง 3 วันสุดท้ายก็เพราะไม่มีเวลาว่างพอที่จะทำในขณะนี้นั่นเอง

น่าคิดว่าชีวิตของเราวุ่นขนาดนั้นเชียวหรือ?

ใครก็ตามที่ตัดสินใจเลือกจะทำอะไรในช่วง 3 วันสุดท้ายของชีวิต สิ่งนั้นจะต้องสำคัญมาก ๆ ต่อตัวเขา ยิ่งตัดให้เหลือเพียงแค่ 2-3 อย่าง มันก็ยิ่งสำคัญเหลือจะกล่าว ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้อย่างไรว่า เราไม่มีเวลาให้กับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราเลย ?

เราเคยลองเทียบเคียงหรือไม่ว่า สิ่งที่เราอยากทำในช่วง 3 วันสุดท้าย กับสิ่งที่เรากำลังทำอย่างวุ่นวายอยู่ในเวลานี้ อะไรสำคัญกว่ากัน

หลายคนพบว่า "งาน" อย่างแรกนั้นสำคัญกว่า "งาน" อย่างหลังมากจนบางทีเทียบกันไม่ได้

คำถามก็คือ อะไรทำให้เราละเลย "งาน" อย่างแรกไป คำตอบที่มักจะได้ก็คือ งานอย่างหลังนั้น "เร่งด่วน" กว่า หาไม่ก็เพราะถูกปัจจัยภายในและภายนอกพัดพาไป

ในชีวิตของเรานั้น มีงานหรือกิจกรรมอยู่ 4 ประเภทใหญ่ ๆ

ประเภทแรกคือ งานด่วนและสำคัญ

ประเภทที่ 2 งานด่วนและไม่สำคัญ

ประเภทที่ 3 งานไม่ด่วนและไม่สำคัญ

และประเภทสุดท้าย งานไม่ด่วนแต่สำคัญ

คนจำนวนไม่น้อยวัน ๆ หมดไปกับงานประเภทแรก และก็มีมากทีเดียวที่สิ้นเปลืองเวลาไปกับงานประเภทที่ 2 และ 3




คน 2 กลุ่มที่ว่าแม้จะมีบุคลิก นิสัยและจุดมุ่งหมายในชีวิตต่างกัน แต่ก็เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ชีวิตไม่มีเวลาให้กับงานประเภทที่ 4 งานไม่ด่วนแต่สำคัญ

งานด่วนและสำคัญ หมายถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เพื่อนร่วมงานขัดแย้งกัน ต้องเข้าไปไกล่เกลี่ย เส้นตายกำลังจะมาถึง ต้องรีบปั่นงานให้ทัน สุขภาพทรุดโทรมจนล้มป่วย ต้องพักงานไปหาหมอ คอมพิวเตอร์เกิดเสียต้องเอาไปซ่อม มิเช่นนั้นทำงานต่อไม่ได้ รวมไปถึงการทำงานเลี้ยงตัวและครอบครัว

งานด่วนและไม่สำคัญ เช่น ต้องรีบเลิกงานเพื่อไปดูฟุตบอลโลกให้ทัน รีบไปซื้อของราคาถูกก่อนหมดเขต ค่ำนี้ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นประจำปี

งานไม่ด่วนและไม่สำคัญ เช่น โทรศัพท์คุยเล่นกับเพื่อน ดูโทรทัศน์คลายเครียด ตอบจดหมายเพื่อนที่เพิ่งมาถึงเมื่อวาน

งานไม่ด่วนแต่สำคัญ เช่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ การวางแผนงาน แต่เนิ่น ๆ การให้เวลากับครอบครัว การฝึกสมาธิภาวนา

ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน คำว่า "สำคัญ" ในที่นี้หมายถึงความสำคัญต่อชีวิต โดยมุ่ง คุณค่าแท้ ยิ่งกว่า คุณค่าเทียม

สำหรับสาวรุ่น การได้เป็นเจ้าของกระเป๋าหลุยส์วิตตองนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต

ลองพิจารณาดูอาจจะพบว่า งานประเภทสุดท้ายนั้นมักจะถูกละเลยไป ทั้ง ๆ ที่สำคัญ แต่เนื่องจาก "ไม่ด่วน" ก็เลยถูกผลัดไปวันพรุ่งนี้

ครั้นวันพรุ่งนี้มาถึง ก็มีงานด่วน (ทั้งสำคัญและไม่สำคัญ) โผล่เข้ามาจึงต้องผลัดไปวันมะรืน โดยลืมไปว่า วันมะรืนมีนัดกับรายการชิงชนะเลิศฟุตบอลพรีเมียร์ลีกหน้าจอโทรทัศน์ เป็นอันต้องเลื่อนต่อไปอีก เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า จนลืมไปก็มี มานึกขึ้นได้ก็ตอนมันกลายมาเป็นปัญหาที่ต้องรีบสะสาง เช่น ล้มป่วยเพราะไม่ยอมออกกำลังกายสักที หรือไม่ลูกก็ติดคุกข้อหาเสพยาบ้าไปแล้ว เพราะพ่อไม่มีเวลาให้ลูกเลย



อะไรต่ออะไรที่เราอยากทำ
ช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนโลกแตก
มักอยู่ในงานประเภทที่ 4 นี้แหละ




งานประเภทนี้แหละที่ใคร ๆ มักจะนึกถึงในยามท้าย ๆ ของชีวิต เช่น เป็นโรคหัวใจแล้วถึงค่อยนึกเสียดายที่ไม่ยอมวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วจึงค่อยนึกถึงการทำสมาธิภาวนา แต่บ่อยครั้งแม้ยังไม่ทันแก่ แต่ก็สายไปแล้ว ผู้เป็นลูกบ่อยครั้งมานั่งเสียใจที่ไม่มีเวลาอยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ยามท่านมีชีวิตอยู่ เนื่องจากเอาแต่ทำมาหากิน จนช่วงเวลาอันสำคัญได้ผ่านเลยไปไม่หวนกลับ

เราแต่ละคนมีเวลาสำหรับสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต(หรืองานประเภทที่ 4)เสมอ แต่มันจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราได้ ต่อเมื่อเราต้องยอมทิ้งบางอย่างไป หรือทำบางอย่างให้น้อยลง

บางอย่างที่ว่าก็คือ งานด่วนและไม่สำคัญ กับ งานไม่ด่วนและไม่สำคัญ

อย่าให้ความด่วนของงานอย่างแรก(ที่ไม่สำคัญ)มารุกล้ำแย่งชิงเวลาของเราไปมากนัก

ขณะเดียวกันก็อย่าให้เสน่ห์ของงานอย่างหลัก(ไม่ด่วนและไม่สำคัญ)มาหลอกล่อเราจนเกินไป ทำใจแข็ง เมินมันไปเสียบ้าง ชีวิตไม่สึกกร่อนดอก

แม้แต่ งานด่วนและสำคัญ ก็เช่นกัน ลดลงเสียบ้าง ชีวิตจะเป็นสุขขึ้นมาก ขืนเอาแต่ทำงานประเภทนี้ ทั้งวันทั้งคืน ไม่นานคงเป็นโรคเครียด ความดันสูง ท้องผูก กระเพาะเป็นแผล งานประเภทนี้ทำให้คนตายมาเยอะแล้ว

แต่จะลดมันได้อย่างไร ? คุณคงถามในใจ ในเมื่อมันทั้งด่วนทั้งสำคัญ




ลดได้แน่หากเราหันมาให้ความสำคัญกับ งานที่ไม่ด่วนแต่สำคัญ ลองสืบสาวดูจะพบว่า ที่ งานด่วนและสำคัญ รุมเร้าเรารอบตัว ก็เพราะเราละเลยงานประเภทที่ 4

งานประเภทหลังนี้ในแง่หนึ่งก็คือ การป้องกันปัญหา ถ้าเราให้เวลากับการป้องกันปัญหาแล้ว ปัญหาก็มีให้แก้น้อยลง งานประเภทแรกล้วนเป็นงานประเภทแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นก็เพราะเราไม่ได้ใส่ใจกับการป้องกันมาตั้งแต่แรก



การหมั่นออกกำลังกาย ทำสมาธิภาวนา
ให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน
สิ่งเหล่านี้ถ้าเราทำวันละนิดละหน่อย แต่ต่อเนื่อง
จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ได้มากมาย
ทำให้งานด่วนและสำคัญพลอยลดลงด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องคุณภาพชีวิต คุณภาพคน และคุณภาพความสัมพันธ์ ซึ่งต้องอาศัยเวลาเช่นเดียวกับการเติบโตของต้นไม้

หากเราลำดับความสำคัญของงานต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างถูกต้อง และให้เวลากับงานเหล่านั้นอย่างสอดคล้องกับความสำคัญของมัน เราก็จะไม่วิตกกังวลกับอนาคต เพราะได้ทำสิ่งที่สมควรทำครบถ้วนแล้ว เรียกว่าเป็นผู้พร้อมทุกขณะ โลกจะแตกหรือไม่ในปี 2000 กลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปเลย




ครั้งหนึ่ง เคยมีคนถามนักพรตผู้หนึ่งด้วยคำถามคล้าย ๆ กันนี้ ว่า "ท่านครับ ท่านคิดว่าท่านจะทำอะไรบ้าง หากจะต้องตายภายใน 3 วัน ?"

"เราก็ทำอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนั่นแหละ" ท่านตอบ

คุณล่ะ พร้อมจะตอบ
อย่างนักพรตท่านนี้แล้วหรือยัง?

จากหนังสือ "จิตแจ่มใส ดอกไม้บาน" งานเขียนโดย....พระไพศาล วิสาโล


ไปข้างบน