หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

กำเนิดหลักเมืองนครศรีธรรมราช ปาฏิหาริย์แห่งจตุคามรามเทพ


กระแสความศรัทธาใน “จตุคามรามเทพ” ที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ" นั้น ได้ส่งผลทำให้เกิดประชาชนให้เกิดความเข้าใจผิดมากมาย ขณะที่ประวัติความเป็นมาต่างๆ ของจตุคามรามเทพอันเป็นที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการตัดต่อที่ขาดวิ่น และเป็นการแต่งเติมเสริมสร้างของผู้ที่ไม่รู้แต่ต้องการหาเงิน

และนับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป คือความจริงของจตุคามรามเทพที่ได้รับการเปิดเผยและบันทึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และที่สำคัญคือเป็นการเปิดเผยเป็นครั้งแรกโดย "พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล" อดีตผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชและผู้จัดทำวัตถุมงคลต่างๆ ของหลักเมืองมาตั้งแต่ต้น

1. ลิขิตชะตาแห่งฟ้าดิน ปาฎิหาริย์ที่วัดนางพระยา

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวแห่งจตุคามรามเทพ จักรพรรดิและเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรศรีวิชัยเกิดขึ้นจากบุคคลที่มีชื่อว่า พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล เพราะถ้าไม่มีพล.ต.ท.สรรเพชญแล้ว ก็ย่อมที่จะไม่มีใครรู้จักจตุคามรามเทพ ไม่มีใครเป็นหลักสำคัญในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช

เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ที่สุดบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับว่า ฟ้าได้ลิขิตดวงชะตาให้พล.ต.ท.สรรเพชญได้มาพบกับจตุคามรามเทพ เพื่อช่วยให้เมืองไทยรอดพ้นจากอาถรรพณ์ที่จะเกิดขึ้นจากราหูอวตาร


พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล

กล่าวคือในช่วงปี พ.ศ.2529 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือกลุ่มอิทธิพลมืดในท้องถิ่น ส่งผลทำให้กรมตำรวจต้องประชุมเพื่อจัดการปัญหาโดยไม่รอช้า เนื่องจากมีการคาดโทษหนักมาจากเบื้องบนว่า ถ้าจัดการไม่ได้อธิบดีกรมตำรวจต้องถูกย้าย

พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.สรรเพชญ(ยศในขณะนั้น)ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราช เพื่อจัดการความวุ่นวายให้สงบลง

เมื่อฟ้าดินกำหนดให้ต้องเป็นไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็มาถึงวันสำคัญที่ต้องจดจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวันที่ทำให้พล.ต.ท.สรรเพชญได้มาพบกับ “แม่นางยา” หรือ “เจ้าแม่นางพญา” ผู้เป็นพระราชมารดาของจตุคามรามเทพ

วันนั้นได้มีคณะบุคคลเชิญ พล.ต.ท.สรรเพชญให้ไปเป็นประธานในพิธีทอดผ้าพระกฐินที่ วัดนางพระยา ซึ่งตั้งอยู่ที่ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

แต่เมื่อพล.ต.ท.สรรเพชญเดินทางไปถึงแทนที่จะเป็นพิธีทอดผ้าพระกฐินแบบธรรมดา กลับกลายเป็นว่ามี “การเข้าทรง” ควบคู่กันไปด้วย พล.ต.ท.สรรเพชญเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจไม่ยอมเข้าไปร่วมพิธีทรงเจ้าเข้าทรง เนื่องจากเกรงชาวบ้านจะเข้าใจผิด ว่าฝักใฝ่ในการทรงเจ้าที่หลายคนมีความเห็นว่า เป็นการหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนและนั่งอยู่ที่ศาลาด้านนอกแทน

ปัญหาที่ตามมาก็คือ ประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานทอดผ้าพระกฐินเกิดความสงสัยว่า มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงไม่เริ่มพิธีการเสียที ทำไมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชถึงออกไปนั่งอยู่ด้านนอก ไม่มาเป็นประธานในพิธี ส่อเค้าลางแห่งความวุ่นวายที่จะตามมาในไม่ช้า


เศียรจตุคามรามเทพ รุ่นแรก

สุดท้ายเมื่อคิดสะระตะและคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว พล.ต.ท.สรรเพชญจึงตัดสินใจเข้าไปในงานเพื่อตัดปัญหา แต่ก็เป็นการไปแบบเสียไม่ได้ และทันทีที่พล.ต.ท.สรรเพชญเข้าไปในงาน เจ้าแม่นางพญาก็เริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ปรากฏ จนเจ้าตัวและผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ต้องทำหน้างงๆ เพราะร่างทรงประกาศด้วยน้ำเสียงอันดัง โดยบอกว่า รู้ล่วงหน้าว่าพล.ต.ท.สรรเพชญจะเดินทางมาที่นี่ แถมยังบอกอีกว่า รอพล.ต.ท.สรรเพชญมานานนับพันปีแล้ว

คำพูดดังกล่าวทำให้ พล.ต.ท.สรรเพชญงุนงงและถามกลับไปว่า “ทำไมถึงมารอผมเป็นพันปี” เจ้าแม่นางพญาในร่างทรงตอบออกมาอย่างชัดเจนว่า... ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกสาปเอาไว้ ดังนั้น ต้องการให้พล.ต.ท.สรรเพชญช่วยเหลือเพราะมีดวงเมืองที่ถูกสาปอยู่ในมือ รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร พร้อมทั้งขอให้ช่วยสร้างหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตรขึ้นมาใหม่ก่อนที่ราหูจะอวตารหรือปรากฏขึ้นเหนือน่านน้ำทะเลใต้ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้บ้านเมืองพ้นจากอาถรรพณ์คำสาปในอดีตได้

ขณะที่พล.ต.ท.สรรเพชญตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ผมเป็นตำรวจมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้าย แต่ถ้าผู้ว่าฯ เขาทำแล้วให้ผมช่วย ผมยินดี อย่าให้ผมทำเลย”

บทสรุปของเรื่องในวันนั้นปรากฏว่า คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะพล.ต.ท.สรรเพชญไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่เจ้าแม่นางพญาบอกว่าไม่เป็นไรและวันหลังให้มาอีก พร้อมทั้งให้ “คาถา” เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารในครั้งต่อไปเอาไว้ให้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการสื่อสารกันระหว่าง พล.ต.ท.สรรเพชญและเจ้าแม่นางพญา ผู้คนจำนวนมากที่แห่กันเข้ามาร่วมพิธีด้วย มีวัตถุประสงค์เพื่อขอหวยเป็นหลักก็เริ่มไม่พอใจและรู้สึกรำคาญประมาณว่า “กูจะมาขอเลขเด็ด มัวแต่มาคุยกันอยู่ได้”

พล.ต.ท.สรรเพชญ สังเกตเห็นอากัปกิริยาที่ลุกลี้ลุกลนของชาวบ้าน จึงได้บอกกับเจ้าแม่นางพญาให้รีบบอกเลขบอกหวยไปเสียจะได้หมดเรื่องหมดราว แล้วจะได้นั่งคุยกันต่อให้รู้เรื่อง

เจ้าแม่นางพญาด่าพวกบ้าหวยทันทีว่า “มึงอยากได้ไปเอาที่ศาลาโน้น มายุ่งอะไรตรงนี้ เขาจะคุยกัน” แต่ด้วยความที่ศาลาที่ร่างทรงบอกให้ชาวบ้านไปเอาเลขเด็ด บังเอิญในขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่เต็มไปหมด คนก็เลยไม่กล้าไป

แต่เรื่องราวก็ไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะผลจากคำไล่พวกบ้าหวยได้ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ประการที่สองขึ้น

กล่าวคือ เมื่อพล.ต.ท.สรรเพชญเจรจาสื่อสารกับร่างทรงเสร็จเรียบร้อยและเตรียมเดินทางกลับ ได้มีลูกเถ้าแก่ใหญ่แห่งเมืองนครศรีธรรมราชที่นับถือ พล.ต.ท.สรรเพชญเป็นการส่วนตัวได้ขับรถบีเอ็มดับบลิวรุ่น 520 ป้ายแดงใหม่เอี่ยมชนิดยังไม่ได้แกะพลาสติกออกจากเบาะมาเตรียมรอรับ ปรากฏว่า รถบีเอ็มดับบลิวป้ายแดงกลับสตาร์ทไม่ติด ต้องให้ตำรวจเข็นกันเกือบตายถึงจะติด

ขณะนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญไม่ได้คิดอะไร กระทั่งรุ่งขึ้นเมื่อมีการประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือวันหวยออก ปรากฏว่า เลขท้าย 3 ตัวบนที่ออกมากลับตรงเผงกับรุ่นของรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้นคือ 520 อย่างไม่น่าเชื่อ

พล.ต.ท.สรรเพชญฉุกคิดขึ้นมาในใจทันทีว่า แล้วศาลาที่ร่างทรงบอกให้ชาวบ้านไปเอาหวยมีเลข 520 อยู่จริงหรือเปล่า เพื่อให้หายสงสัยจึงขับรถไปดูที่ศาลาหลังนั้นทันที และก็พบว่ามีเลข 520 อยู่จริงๆ เหมือนดังเช่นที่เจ้าแม่นางพญาบอกเอาไว้ทุกประการ

เมื่อเป็นเช่นนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญได้มานั่งทบทวนกับสิ่งอัศจรรย์ที่บังเกิด และตัดสินใจที่จะไปพบเจ้าแม่นางพญาอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง


ผ้ายันต์จตุคามรามเทพ รุ่นแรก

2. พบ “โกผ่อง” จตุคามรามเทพแสดงอิทธิฤทธิ์

เมื่อตัดสินใจอย่างนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญ จึงชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงที่สนิทชิดเชื้อกลับไปที่วัดนางพระยาอีกครั้ง แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อไม่พบทั้งหลวงพ่อเจ้าอาวาสและคนทรงคนเดิม

ด้วยความต้องการที่จะติดต่อกับเจ้าแม่ให้ได้ในวันนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญได้สอบถามกับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ร่วมเดินทางมาด้วยว่า พอจะทราบหรือไม่ว่า มีใครพอจะเข้าทรงได้หรือไม่? เพราะผู้ที่จะเป็นร่างทรงต้องผ่านพิธีครอบครูมาก่อน ปรากฏว่า ไม่มีใครทำได้แม้แต่คนเดียว

ทว่า เมื่อช่วยกันคิดไปคิดมาก็นึกถึงบุคคลอีกคนหนึ่งที่น่าจะเข้าทรงได้ นั่นก็คือ “นายอะผ่อง สกุลอมร” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “โกผ่อง” พ่อค้าขายซาลาเปาที่ผ่านการครอบครู เพื่อให้เป็นคนทรงของศาลเจ้าจีนมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะทำอย่างไรเทพก็ไม่ประทับทรง

พล.ต.ท.สรรเพชญจึงสั่งให้คนไปรับโกผ่องมาที่วัดนางพระยา เมื่อมาถึงก็ร่ายคาถาที่แม่นางยาบอกผ่านร่างทรงเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่แล้ว และเมื่อสิ้นคาถา คราวนี้ผู้ที่มาประทับทรงกลับไม่ใช่แม่นางยา-ผู้เป็นพระราชมารดาของจตุคามรามเทพ แต่กลับเป็น “พญาชิงชัย” พระราชโอรสของจตุคามรามเทพ

แต่ด้วยความที่ไม่เชื่อถือโกผ่องเป็นทุนเดิม เพราะทราบประวัติมาว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้พาไปครอบครูหลายครั้งก็ไม่เคยมีเทพองค์ไหนมาเข้าร่างโกผ่องสักที ทำไมเที่ยวนี้ถึงได้เข้าง่ายเหลือเกิน พล.ต.ท.สรรเพชญจึงตัดสินใจทดสอบเพื่อความแน่ใจว่า จะไม่มีร่างทรงคนไหนมาลูบคมผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชได้

พล.ต.ท.สรรเพชญใช้บุหรี่ที่สูบจิ้มไปที่แขนของโกผ่องเพื่อพิสูจน์ความจริง เพราะมั่นใจว่า ถ้าเข้าทรงหลอกๆ เจอบุหรี่ร้อนๆ จิ้มเข้าไปโกผ่องต้องสะดุ้งโหยงแน่ แต่เมื่อจิ้มจนกระทั่งบุหรี่ดับ โกผ่องกลับนั่งนิ่ง...นั่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญก็ยังไม่เชื่ออีก เพราะยังสองจิตสองใจอยู่ว่าเป็นการเข้าทรงจริงๆ หรือโกผ่อง “ทน” เอาไว้กันแน่ พล.ต.ท.สรรเพชญกระซิบให้ นายโยธิน พฤกษ์สถานนท์ หรือ โกเบ้ง จุดธูปมาสักสองสามดอกเพื่อลองของอีกครั้ง ด้วยการจิ้มธูปไปที่ร่างทรงโกผ่อง โดยจิ้มชนิดที่เรียกว่า คนที่อยู่แถวนั้นได้กลิ่นเนื้อไหม้โชยมาเข้าจมูกเลยทีเดียว ปรากฏว่า ร่างทรงโกผ่องยังคงนิ่งเฉยเหมือนเช่นเดิม

ทันใดนั้นเอง พญาชิงชัยที่อยู่ในร่างทรงโกผ่องก็ประกาศท้าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “ถ้ามึงไม่เชื่อ ไปเอาดาบมาฟันกูเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้ามึงจะให้อะไรกู”

...เมื่อหายสงสัยว่าของจริงหรือของปลอม พญาชิงชัยก็วกกลับมาที่เรื่องเก่าอีกคือขอร้องให้ พล.ต.ท.สรรเพชญช่วยสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งคำตอบที่ออกจากปากของ พล.ต.ท.สรรเพชญก็ยังเหมือนเดิมคือไม่ทำ

แต่พญาชิงชัยก็ตอบกลับมาเพื่อยืนยันว่า มีแต่คนชื่อสรรเพชญเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชได้ คนอื่นทำไม่ได้ พร้อมทั้งอธิบายถึงดวงชะตาของ พล.ต.ท.สรรเพชญถูกต้องราวกับเป็นคนในครอบครัว หรือรู้จักกันมานานนับสิบปี ทั้งที่เพิ่งพบกันเท่านั้น

รู้ถึงวันเดือนปีเกิด

รู้ว่าดวงดาวทุกดวงในดวงชะตาของ พล.ต.ท.สรรเพชญสถิตย์อยู่จักราศีไหน

รู้ด้วยว่า พล.ต.ท.สรรเพชญศึกษาติดตามความเคลื่อนไหวของดวงดาวและดาวหางฮัลเลย์ ดาวหางแห่งหายนะมาจนรู้แจ้งเห็นจริง

และรู้ด้วยว่า พล.ต.ท.สรรเพชญมีดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ในมือ และได้มีการศึกษาวิเคราะห์มาโดยตลอดจนรู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

นี่คืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่จตุคามรามเทพสำแดงผ่านพญาชิงชัยให้เห็น เพราะทุกอย่างที่พูดออกมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ที่สำคัญคือศาสตร์ชั้นสูงเหล่านี้ลำพังแต่โกผ่องที่เป็นมนุษย์ เป็นชาวบ้าน เป็นพ่อค้าขายซาลาเปาจะไม่มีทางและไม่มีวันที่จะทราบเรื่องราวเหล่านี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่มิอาจละเลยได้ก็คือ กล่าวเฉพาะสำหรับโกผ่องแล้วต้องบอกว่า ไม่ได้มีส่วนสำคัญในการสร้างจตุคามรามเทพและหลักเมืองนครศรีธรรมราชแต่ประการใด เป็นเพียงการจับผลัดจับผลูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยความบังเอิญเท่านั้น

ทั้งนี้ โกผ่องเป็นร่างทรงของจตุคามรามเทพให้กับ พล.ต.ท.สรรเพชญจนถึงปี พ.ศ.2543 ก็ได้ตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเหตุผลทางด้านพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสมบางประการ

เมื่อตกปากรับคำพญาชิงชัยแล้วก็นัดหมายวันและเวลาอีกครั้งเพื่อที่จะพูดคุยถึงรายละเอียดในการสร้างศาลหลักเมือง

และในครั้งนี้นี่เองที่ พล.ต.ท.สรรเพชญได้พบกับจตุคามรามเทพเป็นครั้งแรก หลังจากสองครั้งก่อนหน้านี้ได้พบแต่เจ้าแม่นางพญาและพญาชิงชัย

และการพบในครั้งนี้ จตุคามรามเทพได้ขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยในอดีตว่า เป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 5 ของโลกยุคโบราณ ซึ่งประกอบไปด้วยจีน อินเดีย เมโสโปเตเมีย โรมันและศรีวิชัย โดยมีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมถึงมาเลเซีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา เวียดนาม เขมร ลาว พม่า ฯลฯ


ดวงตราสุริยัน รุ่นแรกปี 2530 (หน้า-หลัง) สีขาว

3. สั่งให้พบไอ้หนวดยาว พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช

แม้ พล.ต.ท.สรรเพชญได้ตัดสินใจเดินหน้าสร้างหลักเมืองให้อลังการสมกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรศรีวิชัยไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นการตัดสินใจที่สร้างความลำบากให้ไม่น้อยเพราะลำพังตัวคนเดียวไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรถึงจะลุล่วงไปได้

จตุคามรามเทพจึงแนะนำให้ไปชักชวนบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งคือ “ไอ้หนวดยาว” - พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช

แล้วความกลุ้มก็มาเยือน พล.ต.ท.สรรเพชญอีกครั้ง เพราะจู่จะเดินโท่งๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่รู้เหนือรู้ใต้เข้าไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง พร้อมทั้งบอกว่าจตุคามรามเทพชวนให้มาช่วยสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรม ใครจะไปเชื่อ

แต่ปัญหาทุกอย่างก็หมดไป เมื่อจตุคามรามเทพทำท่านั่งในลักษณะที่เรียกกันว่า “มหาราชลีลา” พร้อมทั้งสั่งให้พล.ต.ท.สรรเพชญนำกระดาษมาสเก็ตช์ภาพและนำไปให้พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชดูจะรู้เองว่า เป็นใครและทำไมต้องมาช่วย

เมื่อถึงวันนัดหมาย ทันทีที่พล.ต.ท.สรรเพชญย่างเท้าก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน ก็พบ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านเหมือนกับรับรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใคร และมีอาการสั่นเหมือนกับผู้ที่เข้าทรง พร้อมทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังและอำนาจว่า “มาหาใคร”

พล.ต.ท.สรรเพชญประหลาดใจในอากัปกิริยาดังกล่าว และตอบกลับไปด้วยความสงบว่า “ก็มาหาตามที่ได้นัดหมายกันไว้” จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่สเก็ตช์ภาพเอาไว้ยื่นไปให้กับขุนพันธ์ดูและถามว่าคือใคร

เรื่องไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง เพราะขุนพันธ์ตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิดว่า “จตุคามรามเทพ” และเมื่อตอบเสร็จก็หยุดอาการสั่นที่คล้ายกับการเข้าทรงเช่นกัน

เมื่อกลับมาเป็น ขุนพันธ์เหมือนปกติ ทีนี้ก็เริ่มซักถาม พล.ต.ท.สรรเพชญเป็นการใหญ่ว่า ไปรู้จักจตุคามรามเทพได้อย่างไร ตลอดชีวิตของตนเองไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อ

พล.ต.ท.สรรเพชญก็ตอบว่า “ผมไม่ได้ไปรู้จักเขา แต่เขามารู้จักผมเอง แล้วก็ให้ผมมาเชิญท่านขุนพันธ์ฯ ไปร่วมทำหลักเมืองนครศรีธรรมราช”

“เอาเลยๆ ผมรออยู่แล้ว ผู้กำกับฯ เป็นคนมีบุญต้องสร้างศาลหลักเมืองสำเร็จแน่นอน” คำตอบที่ขุนพันธ์บอกออกมายิ่งทำให้ พล.ต.ท.สรรเพชญอึ้งและทึ่งหนักกว่าเก่าอีก เพราะเป็นคำพูดที่ตรงกับที่จตุคามรามเทพบอกมาก่อนหน้านี้

ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะขุนพันธ์ยังเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นกับสายตาของตนเองว่า นับตั้งแต่พล.ต.ท.สรรเพชญย่างเท้าก้าวเข้ามาในบริเวณบ้านราวกับเป็นภาพสดๆ ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ภาพที่เกิดจากนิมิต

“ผมเพิ่งเห็นจตุคามรามเทพเดินตามหลังผู้กำกับเข้ามาเลย ผมเพิ่งเห็นองค์จตุคามรามเทพวันนี้ แต่งองค์ทรงเครื่องเพชรนิลจินดาประดับแวววาว เสนาอำมาตย์ ทหารห้อมล้อมเต็มไปหมด จนบ้านผมแทบไม่มีที่ยืน”

นี่คือตำนานบทแรกของการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชและการปรากฏตัวของจตุคามรามเทพ


ไปข้างบน