หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

หลักเมือง หลักชัยแห่งอาณาจักรศรีวิชัย

ด้วยอิทธิฤทธิ์และบารมีของจตุคามรามเทพอดีตบูรพกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย12 นักษัตรส่งผลทำให้การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความหวังที่สดใสอย่างแทบไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการประวัติศาสตร์ของจังหวัด

อย่างไรก็ตาม การสร้างหลักเมืองของอาณาจักรศรีวิชัยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ใช่แค่หลักเมืองของจังหวัด แต่เป็นหลักเมืองของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 5 ของโลกในอดีต ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยองค์ความรู้มากมายหลายสาขา และต้องรอคอยปรากฏการณ์ของฟ้าดินหลายประการ ตลอดจนกลุ่มบุคคลสำคัญมาเกิดร่วมสมัย ประการสุดท้ายคือต้องมีองค์จตุคามรามเทพเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่เหนือธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเสียหายในวันข้างหน้า


พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุลขณะกำลังทำพิธีเจิมยอดหลักเมือง

ตามล่าหาไม้ตะเคียนทอง

“มึงจงไปหาไม้ตะเคียนทองมาทำเป็นเสาหลักเมือง จะเป็นไม้ชนิดอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด”

นี่คือสิ่งที่จตุคามรามเทพบอกกับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล และกำชับให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันก็ระบุลงไปเป็นที่แน่นอนว่า ต้นตะเคียนต้นเป้าหมายนั้นขึ้นอยู่บนเขาหลวงในเมืองนครศรีธรรมราช จงป่าวประกาศให้ชาวบ้านให้รับรู้จะได้ช่วยกันหาไม่นานนัก....ข่าวดีก็ตกมาถึงคณะผู้ดำเนินการจัดสร้าง เมื่อได้รับแจ้งจากผู้จัดการโรงเลื่อยไม้แห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราชว่า มีควาญช้างจากอำเภอท่าศาลาพบไม้ตะเคียนทองต้นหนึ่งขึ้นอยู่บนเขาหลวง คิดว่าเป็นต้นไม้ที่ต้องการเป็นแน่แท้เพราะบริเวณโคนต้นเรียบราวกับมีผู้มาปัดกวาดเอาไว้มานานหลายสิบปีแล้ว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลานนกหว้า” เหมือนกับว่ามีเทวดามารักษาอยู่ และพบเห็นต้นตะเคียนทองต้นนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว เพียงแต่ว่าต้นคะเคียนทองดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ การจะตัด...การจะชักลากจำเป็นต้องขออนุญาตจากทางราชการเสียก่อน จะทำโดยพละการไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย ผู้จัดการโรงเลื่อยไม้เมื่อทราบเรื่องก็ไม่ชักช้า ดำเนินการขออนุญาตจากอุทยานแห่งชาติด้วยตนเองทันที และเมื่อได้รับอนุญาตก็ลงมือตัดโดยที่ไม่ได้ปรึกษาหารือใคร เพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาในภายหลัง แม้ต้นตะเคียนทองต้นนี้จะขึ้นอยู่บนยอดเขาที่ด้านหนึ่งเป็นพื้นราบ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นหุบเหว ก็ไม่มีปัญหาสำหรับผู้ชำนาญการในการตัดไม้มาชั่วชีวิตประการใด เพราะสามารถกำหนดทิศให้ต้นตะเคียนทองล้มมา ณ บริเวณพื้นดินหรือจุดที่ต้องการได้ แต่การณ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากแทนที่ต้นตะเคียนทองจะโค่นลงมาตรงจุดที่กำหนดกลับถูกลมที่พัดมาอย่างปัจจุบันทันด่วนจนทำให้โค่นลงไปทางฝั่งเหวแทน


ต้นตะเคียนทอง

...ถ้าจะบอกว่าเสมือนหนึ่งมีเทพยดาผู้รักษาต้นตะเคียนทองมาบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น ก็คงจะไม่เกินเลยเท่าใดนัก

เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้น ความวุ่นวายก็ตามมาเพราะต้องหาหนทางดึงต้นไม้ที่ร่วงไปในเหวให้กลับขึ้นมาให้ได้ ซึ่งกรรมวิธีที่พยายามใช้มีหลายวิธีแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักวิธี เช่น เมื่อใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ไปดึงขึ้นมา ปรากฏว่าดึงเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น แถมยังทำให้รอกชักลากแตกอีกต่างหาก เมื่อเปลี่ยนไปใช้ช้าง 2 เชือกมาลาก ต้นตะเคียนทองก็ไม่ขยับเขยื้อน นอนสงบนิ่งราวกับก้อนหินที่มีน้ำหนักนับเป็นพันๆ ตัน เมื่อพยายามทุกวิถีทางแล้วยังเอาไม้ขึ้นมาไม่ได้ พวกตัดไม้ก็ตัดสินใจลงจากเขาหลวงเพื่อมาขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.สรรเพชญ ซึ่ง ณ เวลานั้นกำลังทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์อยู่กับจตุคามรามเทพอยู่ในวิหารหลวง วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช จตุคามรามเทพที่กำลังประทับทรงก็บอกทันทีว่า เหตุที่ไม่สามารถชักลากไม้สำเร็จเพราะไม่ได้ขอขมาหรือบอกเล่าเก้าสิบให้ถูกต้อง พร้อมแนะให้นำเครื่องเซ่นที่ประกอบด้วยหมากพลู ยาเส้น ธูปเทียนไปขอขมาเทพยดาที่อารักษ์ต้นตะเคียนทองและ ขออัญเชิญมาเป็นเสาหลักเมือง หลังจากพวกตัดไม้ดำเนินการขออย่างถูกต้อง ก็นำไม้ตะเคียนขึ้นมาเป็นผลสำเร็จอย่างง่ายดาย....ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ


บานประตูวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ต้นแบบแห่งศิลปะศรีวิชัย โดยองค์ทางขวาคือ “จตุคาม” และองค์ที่อยู่ทางซ้ายคือ “รามเทพ”

กว่าจะเจอต้นแบบศิลปะศรีวิชัย

เมื่อต้องทำหลักเมืองเพื่อให้เป็นหลักเมืองของอาณาจักรศรีวิชัย จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และมีศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ก็จำต้องไปตามล่า...ต้องไปค้นหาว่าแล้วศิลปะของศรีวิชัยเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปหาโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้อง ...พระบรมธาตุเองก็ไม่ได้สร้างในสมัยศรีวิชัย หากแต่สร้างขึ้นมาภายหลังจากที่ศรีวิชัยล่มสลายแล้ว ...ส่วนที่บุโรพุทโธในอินโดนีเซียที่ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ของอาณาจักรศรีวิชัย ก็เป็นศิลปะของเมืองขึ้น เป็นลวดลายของเมืองเชลย ไม่ใช่ศิลปะของเมืองหลวงเอามาเป็นแบบไม่ได้ ...ไปดูที่เขมรส่วนหนึ่งของศรีวิชัย ก็เป็นเช่นเดียวกับบุโรพุทโธในอินโดนีเซียเพราะเป็นลวดลายที่ได้รับอิทธิพลจากเมืองหลวง ไม่ใช่ต้นแบบที่แท้จริง

แล้วศิลปะศรีวิชัยที่จะนำมาใช้เป็นต้นแบบ นำมาใช้ทำลวดลาย นำมาใช้แกะสลักเสาหลักเมืองอยู่ที่ตรงไหน ตรงนี้นี่เองที่จตุคามรามเทพแสดงอิทธิฤทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง โดยบอกว่าอยู่ที่วัดพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราช หาดูให้ดีประเดี๋ยวก็เจอ พล.ต.ท.สรรเพชญก็รีบรุดไปหาทั่วทั้งวัดพระบรมธาตุ โดยตั้งหน้าตั้งตาค้นหาอยู่นานนับเดือนก็ไม่พบ หาเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ไม่เจอ เนื่องจากศิลปะที่ปรากฏเป็นศิลปะสมัยอยุธยาที่สร้างขึ้นมาภายหลังจากที่ศรีวิชัยล่มสลายแล้ว เป็นของสมัยอยุธยาทั้งนั้น และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง คือในวันที่ 16 มกราคม ปีพ.ศ.2529 ขณะที่ต้องนำธงยันต์จตุคามรามเทพแบบใบเรือขนาดใหญ่จำนวน 4 ผืนขึ้นไปที่องค์พระธาตุเพื่อที่จะประกาศให้เทวดาฟ้าดินได้รับรู้ว่า ขณะนี้กำลังจะสร้างหลักเมืองขึ้นมาใหม่แล้ว พร้อมทั้งเชิญ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชให้ไปช่วยทำพิธีอัญเชิญเทวดาและบอกกล่าวฟ้าดิน ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นไปบนพระธาตุ อยู่ๆ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชก็ก้มลงและจับที่เท้าของ พล.ต.ท.สรรเพชญแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

พล.ต.ท.สรรเพชญสะดุ้งโหยงและพยายามปัดไม่ให้ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชทำเช่นนั้น เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่คราวพ่อ การทำดังกล่าวเป็นสิ่งไม่สมควรและเป็นภาพที่ไม่น่าชม แต่ท่านไม่ยอม มิหนำซ้ำยังท่องคาถาบางประการแล้วจับขาให้ก้าวขึ้นบนบันได 3 ก้าว พอครบ 3 ก้าวท่านก็ปล่อยทันที

อากัปกิริยาดังกล่าวสร้างความสันสนให้กับ พล.ต.ท.สรรเพชญยิ่งนัก เพราะพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชไม่ได้บอกว่า ทำไมถึงทำเช่นนั้น ทำไมถึงต้องทำตรงบริเวณทางขึ้นพระบรมธาตุ แต่ก็ได้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ จากนั้นก็พากันขึ้นไปทำพิธีที่ด้านบน ทีนี้ เมื่อประกอบพิธีกรรมตามตำรับตำราเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่เดินกลับลงมาด้านล่าง สายตาของ พล.ต.ท.สรรเพชญก็เหลือบไปเห็นบานประตูไม้แกะสลักที่บริเวณทางขึ้นพระธาตุ มองเห็นแสงสะท้อนของบานประตูเป็นประกายแวววาว พร้อมมีความรู้สึกฉุกคิดว่า เอ๊ะทำไมไม่เหมือนศิลปะที่เคยเห็นทั่วไป ด้วยความสงสัยจึงเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นชัด เพราะเผอิญมีชาวบ้านนำพวงมาลัยแห้งผ้าสามสีไปพันเอาไว้รอบจนบดบังความงามที่ซุกซ่อนอยู่จนหมดสิ้น พล.ต.ท.สรรเพชญจึงค่อยๆ แกะผ้าสามสีออกทีละผืนและนำพวงมาลัยแห้งออกจนหมด และพบว่า บานประตูแกะสลักไม้อันนั้นคือศิลปะของอาณาจักรศรีวิชัยที่แท้จริง แต่ก็ทำเฉยและไม่ได้กระโตกกระตากให้ใครรู้


ด้ามมีดงาช้างแดงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวจตุคามรามเทพ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

เพื่อทดสอบและยืนยันความจริงให้แน่ใจ พล.ต.ท.สรรเพชญจึงกลับมาทำพิธีอัญเชิญจตุคามรามเทพที่บ้านเพื่อถามไถ่อีกครั้ง เมื่อจตุคามรามเทพประทับทรง ยังไม่ทันที่จะได้สอบถามอะไร จตุคามรามเทพก็ชิงตอบหรือดักคอก่อนที่จะถามเลยว่า “พบแล้วใช่ไหม”


คันฉ่องสำริดจีนโบราณที่เป็นต้นกำเนิดของการออกแบบดวงตราสุริยันจันทราให้มี 2 ขนาดคือ ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสุริยัน และขนาดเล็กที่เรียกว่าจันทรา

คันฉ่องสำริด ด้ามมีดงาช้างแดง กริชโบราณ 3 สิ่งสำคัญในการทำพิธี

เรื่องราวแห่งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์แห่งจตุคามรามเทพยังไม่จบสิ้นเพียงเท่านั้น เพราะยังมีสิ่งสำคัญยิ่งที่เกี่ยวข้องอีก 3 สิ่งด้วยกันคือคันฉ่อง(กระจกส่องหน้า)จีนโบราณ ด้ามมีดงาช้างแดงและกริชโบราณ ถ้าไม่มีทั้งสามสิ่งที่การกระทำพิธีต่างๆ ไม่ว่าเป็นการทำสร้างหลักเมืองหรือวัตถุมงคลหลักเมืองในกาลต่อมา ก็จะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 3 สิ่งนี้มีที่มาและที่ไปอย่างไร

ในระหว่างที่กระทำพิธีนำธง 12 นักษัตรขนาดใหญ่ขึ้นไปติดที่องค์พระบรมธาตุทั้ง 4 ทิศเพื่อประกาศให้เทวดาฟ้าดินและมหาชนรู้ว่า ถึงเวลาที่จะสร้างหลักเมืองศรีวิชัยในทะเลใต้ อยู่ๆ จตุคามรามเทพก็ถาม พล.ต.ท.สรรเพชญอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ของสำคัญที่ฝากเอาไว้อยู่ที่ไหน” ซึ่งสร้างความงุนงงให้ พล.ต.ท.สรรเพชญมาก เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่า จตุคามรามเทพเอาของมาฝากตั้งแต่เมื่อไหร่ พ.ศ.ไหน จตุคามรามเทพจึงเฉลยว่า สิ่งของสำคัญ 3 สิ่งที่ว่านั้นก็คือคันฉ่องสำริดจีนโบราณ ด้ามมีดงาช้างแดงและกริชโบราณ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งคือของคู่กายคู่บารมีของจตุคามรามเทพ เมื่อนั่งนึกทบทวนอยู่พักใหญ่ พล.ต.ท.สรรเพชญก็ถึงบางอ้อร้องอ๋อยอมรับว่า มีอยู่จริงๆ เพราะของทั้ง 3 อย่างเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่ท่านขอเอาไว้เอง เพียงแต่ด้วยอาชีพการงานความเป็นตำรวจที่ต้องย้ายไปประจำจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ก็เลยเก็บเอาไว้ที่บ้าน จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีอยู่ สำหรับคันฉ่องสำริดจีนโบราณนั้น คนทั่วไปอาจไม่รับรู้มาก่อนว่ามีความสำคัญอย่างไร แต่ใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์จีนก็จะรู้ว่า ฮ่องเต้จีนทุกพระองค์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์จะต้องสร้างคันฉ่องประจำตัวองค์ฮ่องเต้ โดยสร้างทั้งหมด 2 อันคือ คันฉ่องประจำตัวองค์ฮ่องเต้ซึ่งมีขนาดใหญ่ และคันฉ่องประจำตัวองค์ฮองเฮา ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า

คันฉ่องอันใหญ่ของฮ่องเต้สื่อความหมายถึงดวงอาทิตย์หรือสุริยัน

คันฉ่องอันเล็กของฮองเฮาสื่อความหมายถึงดวงจันทร์หรือจันทรา


กริชโบราณ อาวุธประจำกายจตุคามรามเทพ

ด้วยเหตุดังกล่าวในการสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพแต่ละครั้งจึงต้องมีการสร้างเป็นคู่เพื่อสื่อความหมายถึงสุริยันและจันทราเสมอ


ไม้ค้ำฟ้าที่ใช้ทำเป็นลูกตาทำของหลักเมืองนครศรีธรรมราช และส่วนที่เหลือนำมาทำเป็นไม้เท้าค้ำฟ้า

คำถามที่ตามมาก็คือคันฉ่องของฮ่องเต้และฮองเฮาจีนมาเกี่ยวข้องกับจตุคามรามเทพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้หรืออาณาจักรศรีวิชัยได้อย่างไร คำตอบก็คือ ในสมัยก่อนประเทศต่างๆ จะมีการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน ซึ่งคันฉ่องนั้นคือของขวัญที่ฮ่องเต้จีนมอบให้ทูตนำมาให้กับจตุคามรามเทพ ส่วนด้ามมีดงาช้างแดงถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวในโลก ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกมีนอกจากจตุคามรามเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรศรีวิชัย เพราะงาช้างที่เราๆ ท่านๆ เคยประสบพบเห็นนั้น จะมีแค่งาช้างสีขาวและงาช้างสีดำเท่านั้น ซึ่งรัชสมัยที่จตุคามรามเทพครองความเป็นใหญ่เหนืออาณาจักทะเลใต้จะใช้มีดที่ด้ามทำด้วยงาช้างแดงเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวเสมอ โดยด้ามมีดงาช้างแดงแกะสลักเป็นพระพิฆเนศวรและลงอักขระหัวใจคาถา ขณะที่ กริชโบราณ เป็นสัญลักษณ์ของอินเดีย โดยตัวใบมีดทำมาจากสะเก็ดดาวตกและโลหะธาตุศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก ซึ่งกริชโบราณก็เป็นอาวุธคู่กายของจตุคามรามเทพเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในการสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพทุกครั้งจึงจำเป็นที่จะต้องมีทั้งคันฉ่องจีนสำริดจีนโบราณ ด้ามมีดงาช้างแดง กริชโบราณรวมทั้งมีดจตุคามรามเทพอยู่ด้วยเสมอ ไม่เช่นนั้นจะไม่ครบถ้วนกระบวนความและยังความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ควรจะเป็นได้


ด้ามมีดงาช้างแดงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวจตุคามรามเทพที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

พล.อ.เปรมมหาบุรุษชาวเมือง 12 นักษัตร

ในระหว่างที่มีการดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองนั้นเอง เหตุการณ์ที่ฟ้าดินกำหนดก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อจตุคามรามเทพได้บันดาลให้ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” หรือที่จตุคามรามเทพใช้ชื่อว่า “มหาบุรุษชาวเมือง 12 นักษัตร” ซึ่งเป็นคนใต้คนแรกในรอบนับเป็นพันๆ ปีเลยทีเดียวที่สามารถก้าวสู่จุดสูงสุดของประเทศได้ด้วยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้น มาขอความช่วยเหลือ พล.ต.ท.สรรเพชญ ดังที่จตุคามรามเทพให้บอกให้กับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ได้รับทราบตั้งแต่ที่สั่งให้ทำมีดยาวครึ่งศอกเอาไว้มอบให้ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะนี่คือความจริงที่ไม่มีทางปฏิเสธได้ คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างศาลหลักเมืองกับพล.อ.เปรมและพล.ต.ท.สรรเพชญเป็นอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ จตุคามรามเทพให้คำตอบว่า การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ลำพัง พล.ต.ท.สรรเพชญคนเดียวจะไม่มีวันทำให้แล้วเสร็จได้ จำเป็นต้องอาศัยบารมีแห่งมหาบุรุษชาวเมือง 12 นักษัตรมาช่วยเสริมเพื่อรองรับการสร้างเสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช และเพื่อต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมือง และไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า พล.อ.เปรมเป็นคนสงขลา แต่ในความเป็นจริงนั้น พ่อแม่ของพล.อ.เปรมเป็นคนนครศรีธรรมราช เพียงแต่ไปเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ที่สงขลาเท่านั้น


ผ้ายันต์จตุคามรามเทพ

หากย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนั้น ก็จะพบว่า ขณะนั้นได้เกิดการประลองกำลังกันระหว่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีและพล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ใครที่คลุกวงในและติดตามสถานการณ์ทางการเมืองก็จะทราบความจริงว่า ขณะนั้นพล.อ.เปรมเป็นทุกข์มากที่จะต้องสู้กับพล.อ.อาทิตย์ที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจเป็นอย่างมาก ในช่วงที่เกิดปัญหากับพล.อ.อาทิตย์ พล.อ.เปรมได้มอบหมายให้ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นติดต่อมายัง พ.ต.อ..สรรเพชญ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอความช่วยเหลือจากจตุคามรามเทพ และกำหนดนัดหมายให้ไปทำพิธีที่วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อจตุคามรามเทพได้พบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ก็ได้กล่าวคำทักทายทันทีว่า “ยินดีต้อนรับผู้ยิ่งใหญ่ชาว 12 นักษัตร” และในที่สุดพล.อ.อาทิตย์ก็ต้องหลุดจากอำนาจ ในระหว่างที่การต่อสู้ห้ำหั่นระหว่าง พล.อ.เปรมและพล.อ.อาทิตย์กำลังเป็นไปด้วยความดุเดือด เมื่อพล.อ.อาทิตย์รับทราบว่า พ.ต.อ.สรรเพชญยืนอยู่ข้างเดียวกับพล.อ.เปรมก็ได้มีคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชย้ายออกจากพื้นที่ แต่คำตอบที่ได้รับจากผู้ว่าราชการจังหวัดก็คือ “ย้ายไม่ได้ เพราะนายกฯ เปรมสั่งเอาไว้ว่า ถ้าย้าย พ.ต.อ.สรรเพชญต้องแจ้งให้นายกฯ เปรมทราบก่อน” ต่อมา เกิดเหตุการณ์ครั้งร้ายแรงขึ้นที่นครศรีธรรมราช เมื่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.) มาวางระเบิดศาลากลางเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า พ.ต.อ.สรรเพชญไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ร.ต.ท.สมชาย อ่วมถนอม(ยศในขณะนั้น)ตำรวจมือดีลูกน้องของ พ.ต.อ.สรรเพชญ สามารถกู้ระเบิดเอาไว้ได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ เพราะมีอุปกรณ์กู้ระเบิดหนึ่งเดียวที่โพกศีรษะแล้วคลานเข้ามาไปกู้ระเบิดที่วางไว้ใต้ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราชสำเร็จโดยที่ไม่เกิดระเบิดขึ้นทั้งๆ ที่ระเบิดทำงานเป็นปกติ นั่นก็คือผ้ายันต์จตุคามรามเทพ ผ้ายันต์ผืนนี้ เป็นผ้ายันต์ที่จตุคามรามเทพสั่งให้ทำ “ผ้ายันต์พิเศษสีดำจำนวน 99 ผืน” โดยผ้ายันต์เขียนเป็นดวงเมืองนครศรีธรรมราชเหมือนกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อไม่สามารถย้าย พ.ต.อ.สรรเพชญออกจากจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ส่งผลทำให้ พ.ต.อ.สรรเพชญสามารถสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชให้แล้วเสร็จจนได้


จตุคามรามเทพพิมพ์กำแพงศอกที่หายากยิ่ง


ไปข้างบน