หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

แก้ผ้า ถ่ายนู้ด ทำบุญกับ ค่านิยม “สวย รวย เด่น” โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

กรณีบรรดาสาวไฮโซ และดารานางแบบ-นายแบบชื่อดัง กว่า 30 คน ได้ร่วมกันกับนิตยสารฉบับหนึ่ง ถ่ายภาพนู้ด เปลือยเรือนร่าง อวดเรือนโฉม โชว์ส่วนเว้า ส่วนโค้ง ท้าทายสายตาและอารมณ์คนดู พร้อมกับประกาศว่า เป็นการถ่ายภาพ “นู้ดการกุศล” เพื่อนำภาพไปประมูลหารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ ณ วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี กลายเป็นที่ฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์กันนั้น

ปรากฏว่า พระอุดมประชาทร หรือหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ กล่าวว่า

“หลังมีข่าวออกไป ทางญาติโยมก็โทรศัพท์มาบอกว่าทางวัดไม่ควรรับเงินดังกล่าวเพราะไม่เหมาะสม อาตมาก็เห็นด้วย เพราะหากรับจะดูเหมือนไปส่งเสริมการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ต้องขอบใจในน้ำใจอันดีงามของเหล่าดารานางแบบที่ต้องการจะช่วยเหลือทางวัด แต่ทางที่ดีควรหาวิธีการที่เหมาะสม จะจัดแข่งกีฬา หรือจัดการแสดงดนตรีน่าจะเหมาะกว่า อาตมาคงรับเงินไม่ได้”

พูดง่ายๆ คือ ท่านไม่รับเงินทำบุญที่ได้มาจากวิธีการแบบนี้

ผมเห็นว่า

1. สำหรับดารา นางแบบ นายแบบ ที่มีเจตนาดี ต้องการจะช่วยเหลือสังคม “โดยบริสุทธิ์ใจ” ก็ขอให้กำลังใจ และขอให้พยายามหาวิธีการอื่น เพื่อจะทำตามเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ของตนเอง โดยวิธีการใดๆ ก็ควรจะต้องมีความบริสุทธิ์ของกุศลกรรมอยู่ด้วย

วิธีการที่งดงามและเหมาะสมกว่าการถ่ายภาพนู้ด อาจจะได้เงินน้อยกว่า ได้หน้าน้อยกว่า ได้เป็นข่าวน้อยกว่า แต่ถ้าจิตใจแน่วแน่ มีศรัทธาต่อการกุศลอย่างแท้จริง ก็ยังน่าชื่นชมยิ่งกว่าจะใช้วิธีการที่ต่ำมาตรฐานทางศีลธรรม

2. สำหรับการตัดสินใจของหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ผมก็ขอกราบอนุโมทนา ท่านวินิจฉัยชอบแล้ว ทั้งโดยสถานะของท่าน และด้วยวิธีคิดต่อเรื่องดังกล่าว ใครก็คงไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าท่าน

3. ต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการ “ถ่ายนู้ด ทำบุญ” ก็บอกว่า พวกที่คัดค้านเป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีล ไม่ยอมรับความเปลี่ยนไปของโลก เรื่องถ่ายนู้ดเป็นเรื่องปกติ เป็นศิลปะ เขาถ่ายนู้ดแล้วเอาเงินไปทำบุญ ย่อมจะดีกว่าถ่ายนู้ดแล้วเอาเข้ากระเป๋าตัว และดีกว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย

ผมอยู่ในฝ่ายที่เห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย คือ “วิธีการทำบุญ” และ “วิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังการถ่ายนู้ด”

การอ้างว่า ถ่ายนู้ดเพื่อทำบุญหรือถ่ายนู้ดเพื่อการกุศลในครั้งนี้ จริงๆ แล้ว มองได้สองด้าน

ด้านหนึ่ง มองว่าเจตนาหลักคือการทำบุญ เมื่ออยากทำบุญจึงถ่ายนู้ด เพื่อให้ได้เงินมาทำบุญ หากมองอย่างนี้ แสดงว่า คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับเงินในการทำบุญมาก จนถึงกับแก้ผ้าถ่ายนู้ดก็เพื่อให้ได้เงินมาทำบุญ แต่ก็เกิดคำถามว่า มีวิธีอื่นอีกหรือไม่เพื่อให้ได้เงินมาทำบุญ เพราะคนที่มีชื่อเสียงระดับนี้ น่าจะมีศักยภาพที่จะทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ได้มากกว่าการแก้ผ้า เช่น จัดแสดงละคร จัดแสดงดนตรี หรือจัดงานศิลปะอื่นๆ ที่สร้างสรรค์ทางปัญญาของสังคม ฯลฯ

อีกด้านหนึ่ง มองว่า เจตนาหลักคือต้องการจะแก้ผ้าให้คนถ่ายนู้ด เพื่อให้ปรากฏภาพเรือนร่างของตนเองที่ตนคิดว่าสวยออกสู่สังคม เพื่อความเด่นและดัง ยิ่งมีพรรคพวกร่วมกันถ่ายมากๆ แบบนี้ ยิ่งดังมาก แต่ถ้าจะถ่ายนู้ดเฉยๆ เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเฉยๆ ก็กลัวจะถูกนินทาในสังคมไฮโซ ก็เลยหาเรื่องการทำบุญมาเป็นข้ออ้าง เพื่อบอกกับสังคมว่าเป็นการทำบุญเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง

มองลึกๆ ก็อาจจะเป็นการ “ปลอบประโลมใจตัวเอง” ของคนที่ต้องการแก้ผ้าถ่ายนู้ดด้วย

พูดง่ายๆ ว่า เพื่อให้ตนเองได้แก้ผ้าถ่ายนู้ดตามความต้องการของตัวเอง ด้วยความรู้สึกสบายใจมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ วิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังการแก้ผ้าถ่ายนู้ด

คือ การมองเรือนร่างของมนุษย์เป็นวัตถุทางเพศ

เอาเรือนร่างของคนออกมาขายแก่สาธารณชน ยิ่งเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคมก็ยิ่งมีผลต่อการปลูกฝังค่านิยมดังกล่าว ทำให้คนนิยมให้ความสำคัญกับความสวยงามของเรือนร่าง มากกว่าสติปัญญา ความสามารถ และความดีงามภายในตัว

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการยั่วยุกามารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นๆ

สำคัญที่สุด คือ การตอกย้ำค่านิยม “สวย รวย เด่น” ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาสังคมนานาประการในปัจจุบัน

สังเกตดู พฤติกรรมของเด็กๆ เยาวชน หากพ่อแม่หรือคนในสังคมแสดงความชื่นชมพวกเขาในด้านใดหรือมิติใด เด็กๆ ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นๆ มากขึ้น เพราะมีความมั่นใจในทางนั้น เช่น ถ้าถูกชมว่า สวย-หล่อ เด็กก็จะเริ่มให้ความสำคัญกับหน้าตาของตัวเองมากกว่าเดิม หรือถ้าชมว่าขยัน เด็กก็จะให้ความสำคัญกับความขยันยิ่งๆ ขึ้นไป

หายนะทางสังคมที่เกิดจากค่านิยม “สวย รวย เด่น” คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงให้มากความ เพราะเห็นๆ กันอยู่ อาทิเช่น


เรื่องของการนิยมสวย ก็ทำให้เยาวชนของเราต้องไปทำศัลยกรรม ใช้เครื่องสำอางแพงๆ กินยา ฉีดยา อดอาหาร ดูดไขมัน ถึงกับตายไปก็มี ห่วงสวยห่วงหล่อ จนชีวิตพลาดโอกาส พลาดกิจกรรมสร้างสรรค์ทางปัญญาจำนวนมากไปอย่างน่าเสียดาย

เรื่องการนิยมรวย ก็เห็นกันตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับครอบครัว การหาทางรวยเร็ว รวยลัด โดยไม่สนใจวิธีการ นับถือเงินเป็นใหญ่ จะรวยด้วยวิธีใดก็ไม่สน อบายมุขและการพนันจึงเกลื่อนเมือง การทุจริตคอรัปชั่นโกงชาติโกงแผ่นดินจึงไม่หมดสิ้นไปเสียที ก็เพราะคนยังนับถือความรวยมากกว่าความดีของคน

เรื่องการนิยมเด่น ก็ทำให้เกิดการแข่งขันช่วงชิงความเด่นความดัง จะทำอย่างไรก็ได้ขอให้ดัง ขอให้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก มีตัวตน จึงมีตั้งแต่การใช้วิธีโกงเพื่อให้ตัวเองได้ชัยชนะ ได้เป็นที่หนึ่ง ไปจนถึงการแข่งกันแต่งโป๊ไปออกงานสังคม เพื่อจะได้โด่งดังข้ามคืน การถ่ายภาพโป๊เปลือยของตัวเองออกเผยแพร่ ไม่เว้นแม้กระทั่งการโชว์เซ็กส์ โชว์เรือนร่างผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เนต

ทั้งหมด เป็นแค่บางส่วนของปัญหาสังคมที่ฟอนเฟะ

น่าคิดว่า การถ่ายนู้ดในสังคมไทย สะท้อนค่านิยม “สวย รวย เด่น” แบบบูรณาการครบทั้ง 3 ประการ ใช่หรือไม่

เพราะเน้นความสวย อวดเรือนร่าง อล่างฉ่าง เพื่อเงิน (ไม่ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร) ในขณะเดียวกันก็นำไปสู่ความเด่นดังของตัวเอง

ไม่แปลกใจ ดาราไทยจำนวนมาก นึกอยากดังและได้เงินก็ลุกขึ้นมาแก้ผ้าถ่ายนู้ด เป็นได้ดังเปรี้ยงปร้างชั่วข้ามคืน หลังจากนั้น ก็มีงานไหลมาเทมา มีบรรดาเสี่ยใหญ่เสี่ยน้อยเสนอตัวมอบความมั่งคั่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น

เรียกว่า ได้ทั้ง “สวย รวย เด่น” ไปในคราวเดียวกัน

การถ่ายภาพนู้ด จึงเป็นการตอกย้ำ และปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรมดังกล่าวในสังคมไทย ในความรู้สึกนึกคิดของลูกหลานไทยอย่างไม่มีโอกาสรู้เนื้อรู้ตัว

ไม่สรรเสริญคนที่ “ฉวยโอกาส” เอากับการถ่ายนู้ดก็เพราะเหตุนี้

ยิ่งถ่ายนู้ด แล้วอ้างว่าเพื่อทำบุญ ยิ่งน่าเวทนาหนัก เพราะเป็นความพยายามสร้างความสับสนทางมาตรฐานและบรรทัดฐานของสังคม

ที่อ้างว่า แก้ผ้าถ่ายนู้ดทำบุญ ดีกว่าอยู่เฉยๆ จึงไม่จริง เพราะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำร้ายสังคมด้วยการผลิตซ้ำและตอกย้ำค่านิยมอย่างที่ว่า และจริงๆ ก็ไม่ได้อยากให้อยู่เฉยๆ แต่ขอให้คิดดีและทำดีจริงๆ

จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ Online" งานเขียนโดย....ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


ไปข้างบน