ควรเก็บภาษีวัตถุมงคล
วัตถุมงคลจตุคามรามเทพ
โพสต์ทูเดย์- กรมสรรพากรเพิ่งจะมีความคิดที่จะเก็บภาษีกับธุรกิจพระเครื่องและ การจัดทำวัตถุมงคล โดยเฉพาะจตุคามรามเทพที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชนทุกชนชั้น
จากกระแสจตุคามฯ ฟีเวอร์นี่เอง ทำให้วัดต่างๆ หันมาจัดสร้างวัตถุมงคลประเภทนี้มากมายไม่ต่ำกว่า 300 รุ่น ว่ากันว่าจะมีเงินสะพัดในธุรกิจนี้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
การจัดทำพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆ นั้น การจัดสร้างส่วนใหญ่ วัดจะจัดทำขึ้นเพื่อนำเงินไปใช้ประโยชน์ต่อพุทธศาสนา เช่น สร้างพระ สร้างโบสถ์ วิหาร ฯลฯ หรือนำเงินไปใช้สาธารณกุศลอื่นๆ เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ศาลาการเปรียญ เป็นต้น แต่การที่จะให้พระ หรือเจ้าอาวาส ออกหน้ามาจัดทำ พระท่านก็คงไม่สันทัด จึงเกิดขบวนการญาติโยมเข้ามาจัดการในเรื่องนี้ให้ โดยให้ทางวัดบอกว่าต้องการเงินเท่าไร และทางคณะผู้จัดการก็จะไปดำเนินการให้
ซึ่งคนที่มาจัดการเขาก็ไม่ได้มาจัดการเปล่าๆ แต่เขาจะบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาเข้าไปด้วย ซึ่งทำให้คนที่เข้ามายึดอาชีพจัดการนี้ร่ำรวยกัน ทั่วหน้า ซึ่งหนักเข้าก็ทำกันเป็นอาชีพโดยเป็นอาชีพที่สุจริตและไม่ต้อง เสียภาษี แต่ก็มีความเสี่ยงตรงจะขาดทุน หากวัตถุมงคลที่จัดสร้างไม่ฮิต ปล่อยให้เช่าได้ไม่ครบที่จัดทำ
นอกจากจะมีอาชีพผู้จัดทำเกิดขึ้นใหม่แล้ว ยังเกิดธุรกิจต่อเนื่องคือแผง เช่าพระต่างๆ ที่ปัจจุบันทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงกับเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเป็นตลาดพระกันทีเดียว แต่สนามพระเหล่านี้ก็เป็นตลาดสำหรับผู้นิยมชมชอบพระเครื่องเท่านั้น คนที่ไม่ชอบในทางนี้คงไม่เข้าไปเดินให้เสียเวลา
อย่างไรก็ดี ธุรกิจการให้เช่าวัตถุมงคลนั้น ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน มีการซื้อพื้นที่สื่อลงโฆษณา ไม่ได้ทำกันเงียบๆ และใช้วิธีปากต่อปากกันเหมือน เมื่อก่อน จึงมีสภาพไม่แตกต่างจากการขายสินค้าอื่นๆ
วัตถุมงคลจตุคามรามเทพ
เมื่อการซื้อขายวัตถุมงคลมีสภาพไม่แตกต่างจากการจำหน่ายสินค้าใดๆ ก็มีคำถามว่า ควรจะเก็บภาษีจากผู้จัดสร้างวัตถุมงคลที่เป็นเหลือบแอบแฝงทำวัตถุมงคลหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหรือไม่
การคิดที่จะเก็บภาษีของกรมสรรพากรนั้น เพียงแค่คิดก็ถูกคัดค้านอย่างหนัก เพราะคนที่อยู่ในธุรกิจจะเห็นว่าเวลามีความเสี่ยงปล่อยเช่าไม่ออก ไม่เห็นรัฐจะเข้ามาช่วยเหลืออะไร แต่นี่ก็เป็นการคิดเอาแต่ได้ เพราะธุรกิจทุกอย่างแม้กระทั่งขายก๋วยเตี๋ยวเขาก็ยังต้องเสียภาษี หากขายต่ำกว่าประเมิน ขาดทุน รัฐก็ไม่เก็บภาษี ซึ่งก็น่าจะเข้าในลักษณะเดียวกัน
แต่การที่กรมสรรพากรจะเข้าไปเก็บภาษีจากผู้จัดทำวัตถุมงคลนั้นน่าจะดำเนินการได้ เพราะเป็นการเก็บภาษีตั้งแต่ต้นน้ำ สามารถที่จะตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินและต้นทุนดำเนินการได้ แต่การเก็บภาษีจากแผงพระเครื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ยาก เพราะยิบย่อยมาก รวมทั้งราคาซื้อขายกันก็ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร เป็นราคาตามความพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การลงบัญชี ก็ทำได้ยาก
เราสนับสนุนว่านอกจากรัฐจะเข้ามาจัดระเบียบการออกวัตถุมงคลต่างๆ แล้ว ก็สมควรที่จะคิดจัดเก็บภาษีเข้าไปด้วย เพื่อให้ผู้ที่จะจัดทำวัตถุมงคลที่มีเจตนาหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองมากกว่าจะทำด้วยศรัทธา คิดให้ดีเสียก่อนว่าคุ้มหรือไม่ที่จะเข้าไปเป็นเหลือบหากินกับพระพุทธศาสนา
|