หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

ชมวัดงาม เที่ยวย่านถิ่นเก่าที่ "ตลาดพลู"


พระอุโบสถหลังใหม่ของวัดอินทารามวรวิหาร ด้านหน้ามีพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสิน



นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์เสียหลายวันจนชักจะเพลิน พาลให้ไม่นึกอยากไปทำงานขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ยังไงๆ ฉันก็ยังไม่ลืมหน้าที่ในการพาเที่ยวตะลุยกรุงเทพฯ ซอกแซกไปหาสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจมาฝากกัน

อย่างวันนี้ที่ฉันจะชวนไปชมย่านเก่าในกรุงเทพฯ นั่นก็คือย่าน “ตลาดพลู” บริเวณถนนเทอดไทในฝั่งธนบุรีนี่เอง โดยฉันได้ติดสอยห้อยตามมากับชมรมสยามทัศน์ ที่มีคุณนัท จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา เป็นไกด์พาท่องกรุงอีกเช่นเคย


พระวิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



แน่นอนว่าชื่อ “ตลาดพลู” ย่อมต้องมีที่มาที่ไป โดยแต่เดิมนั้นพื้นที่ริมคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวงนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แต่เมื่อมีการย้ายราชธานีไปยังฝั่งพระนคร ชาวจีนบางส่วนก็โยกย้ายบ้านเรือนไปย่านสำเพ็ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของชุมชนชาวจีน และก็ได้มีชาวอิสลามเข้ามาอาศัยแทนที่

และเป็นชาวอิสลามนี่เองที่เป็นผู้ริเริ่มทำสวนพลูในย่านนี้ขึ้น จนต่อมาทั้งชาวอิสลามและชาวจีนต่างก็ทำสวนพลูเป็นอาชีพอย่างแพร่หลาย จนบริเวณริมคลองบางหลวงนี้กลายเป็นตลาดซื้อขายพลู และเกิดเป็นชุมชนเก่าแก่ที่เรียกกันว่า “ตลาดพลู” มาแต่บัดนั้น มาถึงปัจจุบันแม้จะหาพลูไม่ได้แล้วสักต้นในย่านนี้ แต่ชื่อของตลาดพลูก็ยังคงอยู่

รู้ถึงที่มาของชื่อตลาดพลูแล้ว เราก็มาเริ่มเดินเท้าท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญๆ ของย่านตลาดพลูกันเลยดีกว่า เริ่มจากที่แรก ที่ “วัดอินทารามวรวิหาร” หรือวัดบางยี่เรือนอก วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา วัดแห่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในสมัยกรุงธนบุรี โดยหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระองค์ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแต่จะทรงบูรณะวัดแห่งนี้เท่านั้น พระองค์ยังทรงเสด็จมาประกอบพระราชกุศล และปฏิบัติกรรมฐานอยู่เสมอๆ โดยยังมีพระราชอาสน์ที่พระองค์ทรงประทับทรงศีลอยู่ภายในวัดด้วย

เมื่อเดินเข้าไปภายในวัดแล้วก็จะเห็นพระอุโบสถหลังใหญ่โตสวยงาม เป็นพระอุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธชินวร พระประธานสมัยสุโขทัยปางมารวิชัย ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถ ก็จะมีพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินในท่าประทับนั่ง มีพระแสงดาบพาดอยู่ที่พระเพลา


พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง วัดราชคฤห์



และหากเดินมาด้านหลังวัดบริเวณที่ติดกับคลองบางหลวง ก็จะพบกับพระอุโบสถหลังเก่า และวิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งมีพระบรมรูปของพระองค์อยู่หน้าวิหารอีกเช่นกัน เป็นพระบรมรูปทรงม้า พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือพระแสงดาบชูขึ้นฟ้า ลักษณะเดียวกับพระบรมรูปตรงวงเวียนสมเด็จพระเจ้าตากสิน

สักการะพระบรมรูปของท่านแล้ว ฉันเดินเข้าไปในพระวิหารสมเด็จฯ ภายในนั้นนอกจากจะมีพระพุทธรูปเหลืองอร่ามอยู่หลายองค์แล้ว ก็ยังมีแท่นพระบรรทมไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระราชอาสน์สำหรับประทับแรมทรงศีลและทรงกรรมฐาน ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และยังมีพระบรมรูปจำลองขณะที่พระองค์กำลังทรงกรรมฐานอยู่ด้วย

ข้างพระวิหารฯ นั้นก็เป็นพระอุโบสถหลังเก่า ภายในมีพระประธานซึ่งใต้ฐานชุกชีนั้นบรรจุพระสรีรังคารของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไว้ด้วย ส่วนเจดีย์สีทองสององค์ด้านหน้านั้นก็เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์และพระอัครมเหสี


สถานีรถไฟตลาดพลู



ชมสิ่งต่างๆ ภายในวัดอินทารามเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ไม่อยากให้พลาดชมของดีที่อยู่ด้านหลังวัด หากเดินออกไปตรงท่าน้ำของวัดก็จะเห็นศาลาท่าน้ำหลังเล็กสีเขียวอ่อนมีลวดลายแบบขนมปังขิง ศาลาท่าน้ำนี้มีชื่อว่าศาลาภิรมย์ภักดี ศาลาแห่งนี้ก็คือท่าเรือเมล์ขาว ซึ่งเป็นเรือเมล์ของพระยาภิรมย์ภักดีที่วิ่งรับส่งคนในคลองบางหลวงสมัยก่อน ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวที่ท่าน้ำวัดอินฯ นี่แหละ และเมื่อออกมาจากท่าน้ำแล้วอย่าลืมหันไปมองทางซ้ายมือ จะเห็นห้องแถวเล็กๆ ที่อยู่ติดกับศาลาท่าน้ำ ห้องแถวห้องนี้มีประตูที่แปลกไม่เหมือนใคร หากมองเผินๆ อาจจะเห็นเพียงแค่ประตูลูกกรงไม้ธรรมดา แต่มองดีๆ จะเห็นว่าไม้นั้นทำเป็นรูปทรงตะเกียบ 4 อันวางห่างกันพอประมาณ คนลอดออกไม่ได้ แต่หากต้องการจะออกก็จะต้องยกตะเกียบซี่หนึ่งซึ่งหนักไม่ใช่เล่นออกเสียก่อน ประตูแบบนี้ฉันก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ แต่ชาวจีนแต้จิ๋วเขานิยมกัน สมัยนี้คงหาดูได้ยากแล้วล่ะ

จากวัดอินทารามฉันเดินต่อไปโดยใช้เส้นทางเล็กๆ ริมคลองบางหลวงด้านหลังวัด ผ่านตลาดวัดกลางซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังวัดจันทาราม เพื่อจะเดินต่อไปยัง “วัดราชคฤห์วรวิหาร” แต่ก่อนจะเดินทางไปถึงฉันก็เสียเวลากับตลาดวัดกลางไปมากพอดู เพราะนอกจากจะแวะกินชากาแฟร้อนๆ กินข้าวเหนียวหมูทอดหอมๆ เดินชมตลาดสดที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแล้ว ก็ยังเพลินกับการได้เห็นห้องแถวไม้เก่าๆ ดูคลาสสิค ห้องแถวเหล่านั้นบ้างก็เป็นร้านสังฆภัณฑ์ ร้านขายขนม รวมทั้งร้านขายยาหน้าตาโบราณที่ขายยาสมุนไพร น่าดูไม่น้อย


พระประธานในวัดโพธิ์นิมิตรฯ



จากตลาดวัดกลางฉันก็เดินทะลุมายังวัดราชคฤห์ หรือวัดบางยี่เรือใน บางคนก็เรียกวัดบางยี่เรือมอญ เพราะสร้างโดยนายกองมอญในสมัยอยุธยา และมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยกรุงธนบุรี โดยพระยาสีหราชเดโช หรือที่เรารู้จักกันในชื่อพระยาพิชัยดาบหักนั่นเอง

ภายในวัดราชคฤห์นี้มีสิ่งสำคัญก็คือ เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากกรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ส่วนพระปรางค์อีกองค์หนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กันก็เป็นพระปรางค์ที่บรรจุอัฐิของพระยาพิชัยดาบหัก ที่ตามประวัติศาสตร์นั้น ท่านได้ขอตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินไปด้วย

นอกจากนั้น หากใครเคยนั่งรถผ่านวัดราชคฤห์บนถนนเทอดไท หลายคนก็คงจะเห็นสิ่งก่อสร้างที่ลักษณะคล้ายภูเขาตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด สิ่งก่อสร้างที่ว่านั้น ที่จริงแล้วเรียกว่า “เขามอ” หรือภูเขาจำลองที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน และบนยอดเขามอนั้นก็มีพระมณฑป ซึ่งภายในมีพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ สามารถขึ้นไปกราบไหว้ด้านบนได้

แต่ที่แปลกที่สุดก็คือ ที่วัดราชคฤห์แห่งนี้มีพระพุทธรูปนอนหงาย!! อย่าเพิ่งตกใจว่าใครอุตริไปสร้างพระปางใหม่ขึ้น จริงๆ แล้วพระพุทธรูปองค์นี้เป็นปางถวายพระเพลิง ซึ่งตามพุทธประวัตินั้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ศิษยานุศิษย์ก็ได้นำพระสรีระของพระองค์มาถวายพระเพลิง แต่พระสรีระของพระองค์ไม่ยอมติดไฟ เนื่องจากพระองค์ต้องการจะรอให้พระมหากัสสปะเดินทางมาถึงเสียก่อน

พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิงที่วัดราชคฤห์นี้มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปนอนหงาย พระเศียรหนุนพระเขนย พระกรทั้งสองข้างแนบพระองค์ หลับพระเนตร และมีพระมหากัสสัปปะนั่งพนมมืออยู่ที่พระบาท ใครสนใจก็ไปกราบสักการะกันได้


เขามอที่วัดราชคฤห์



จากวัดริมฝั่งคลองบางหลวง คราวนี้เดินข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามที่ “วัดโพธิ์นิมิตรมหาสีมาราม” กันบ้าง วัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยความที่เป็นวัดฝ่ายมหานิกายที่มีการผูกพัทธสีมาสองชั้น คือพัทธสีมาและมหาพัทธสีมา ซึ่งก็หมายถึงว่ามีจะมีอาณาเขตในการทำสังฆกรรมที่กว้าง อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังมีความน่าสนใจตรงที่จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถไม่ได้เป็นเรื่องราวพุทธประวัติหรือชาดกอย่างวัดอื่นๆ แต่เป็นเรื่องราวการอัญเชิญกิ่งพระศรีมหาโพธิ์จากอินเดียมายังเกาะลังกา อีกทั้งยังมีภาพงานประเพณีต่างๆ ของไทย โดยมีฉากเป็นวัดต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีเช่นวัดสุทัศน์ฯ วัดราชบพิธฯ วัดพระแก้ว เป็นต้น

จริงๆ แล้ววัดในแถบตลาดพลูนี้ยังมีอยู่อีกหลายวัดด้วยกัน แต่ฉันขอเดินชมเพียงเท่านี้ก่อน เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะเดินเท้าไปยัง “สถานีรถไฟตลาดพลู” สถานีรถไฟเล็กๆ แต่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย ทางรถไฟสายนี้วิ่งตรงจากวงเวียนใหญ่ ไปถึงมหาชัย จังหวัดสมุทรสงครามโน่น ฉันไปด้อมๆ มองๆ ดูราคาตั๋วรถไฟแล้วก็พบว่าถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จากตลาดพลูไปวงเวียนใหญ่ 3 บาท ไปบางบอน 5 บาท ไปมหาชัย 10 บาท เท่านั้นเอง

และนอกจากผู้คนที่มารอรถไฟแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริเวณสถานีรถไฟตลาดพลูมีผู้คนพลุกพล่านก็คือ เพราะบริเวณนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสำหรับคนเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว หอยทอดผัดไท ข้าวราดแกงต่างๆ ที่นอกจากจะนั่งกินที่ร้านได้แล้วก็สามารถซื้อใส่ถุงหิ้วขึ้นรถไฟได้เลย


คุณยายกับประตูตะเกียบ



และไม่ไกลจากสถานีรถไฟตลาดพลูนักก็มีร้านอาหารขึ้นชื่อหลายร้านด้วยกันที่นักชิมยกให้เป็นร้านอร่อยของตลาดพลู ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมหวานตลาดพลู ร้านหมี่กรอบเก่าแก่และอร่อยมาตั้งแต่สมัย ร.5 ร้านน้ำใบบัวบกเย็นชื่นใจ ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยน้ำซุปเข้มข้น และอีกมากมายหลายร้าน ใครสนใจจะไปชิมก็เชิญได้ตามอัธยาศัย

และหากเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า ใต้สะพานตลาดพลู ซึ่งสะพานที่ว่านั้นก็คือถนนรัชดาภิเษกที่ลอยพาดผ่านอยู่ด้านบน ในยุคหลังๆ บริเวณถือเป็นศูนย์กลางของตลาดพลูก็ว่าได้ คือมีทั้งตลาดและโรงภาพยนตร์ถึงสองโรงด้วยกัน คือโรงภาพยนตร์ศรีนครธน และโรงภาพยนตร์ศรีตลาดพลู สำหรับโรงภาพยนตร์ศรีนครธนนั้น เขาเรียกกันว่าวิกสูง เพราะส่วนที่เป็นโรงหนังนั้นอยู่ชั้นบน ด้านล่างก็เป็นตลาด ดังนั้นโรงภาพยนตร์ศรีตลาดพลูจึงเรียกกันว่าวิกเตี้ย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีโรงหนังเหลือให้เห็นแล้วล่ะ และหากใครยังไม่เมื่อย จะเดินมาทางด้านหลังตลาดพลู ชมตึกแถวเก่าสองชั้นสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยก็ได้ ยังคงได้บรรยากาศเก่าๆ ของย่านตลาดพลูแบบดั้งเดิม

ความเป็นตลาดพลูที่คึกคักในอดีตเริ่มลดน้อยถอยลงหลังจากที่เกิดระบบขนส่งมวลชนใหม่ๆ ขึ้น ทั้งรถไฟ ถนน และรถยนต์ ความนิยมในการกินหมากพลูที่น้อยลง อีกทั้งการเกิดห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตสมัยใหม่ขึ้น ก็ล้วนมีส่วนทำให้ตลาดพลูในวันนี้ไม่ใช่ตลาดพลูที่รุ่งเรืองเหมือนสมัยก่อน แต่หากได้มาเดินดูอย่างใกล้ชิดแล้วละก็ ฉันว่ากลิ่นอายของตลาดพลูก็ยังไม่จางหายไปเสียทั้งหมดหรอก

* * * * * * *

สอบถามรายละเอียดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์กับชมรมสยามทัศน์ได้ที่ โทร.08-1343-4261

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์" งานเขียนโดย หนุ่มลูกทุ่ง


ไปข้างบน