หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมดี และกรรมชั่ว




เมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ตัดสินคดียุบพรรคการเมืองแล้ว ให้ระลึกนึกถึง กฎแห่งกรรม และมงคล 38 ที่ว่า “อเสวนา จะ พาลานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง แปลความว่า การไม่คบคนพาล เป็นมงคลอันสูงสุด ในข้อที่ 2 ปัณฑิตานัญจะ เสวนา เอตัมมังคะละมุตตะมัง” แปลความว่า การคบบัณฑิต เป็นมงคลอันสูงสุด สมดังคำกลอนที่ว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบคนชั่ว พาตัวให้มืดมน เกิดเป็นคนจะคบใคร ควรไตร่ตรอง” อย่างน้อยที่สุดก็ต้องคิดว่า ใคร คณะไหนเป็นผู้ทำลายชาติด้วยการโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือใครเป็นผู้สร้างสรรค์ชาติ

ส่วนคำว่ากรรม กรรม เป็นคำกลางๆ แปลว่า การกระทำ เช่น กุศลกรรม คือการทำความดี อกุศลกรรม คือการทำความชั่ว พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “เจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย วาจา ใจ”

กรรม คือการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา อันมีมูลมาจากอุปาทานความยึดมั่น เช่น ยึดมั่นในความดี หรือยึดมั่นในความไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของฝ่ายโลกียวิสัย แต่ในทางปรมัตถธรรมพระอริยสงฆ์ เราจะเห็นได้ว่าท่านก็ยังทำความดี ทำแต่กุศล แต่ท่านไม่ยึดติดในความดีหรือกุศลที่ท่านทำลงไป ท่านทำลงไปด้วยกิริยาสังขาร ทั้งทางกาย วาจาและใจ ท่านจึงอยู่เหนือความดีและความชั่ว อันเป็นทางสายกลางที่สมบูรณ์ เรียกสภาวะนั้นว่านิพพาน หรือสภาวะ อสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยแต่ง) คือ สภาวธรรม ที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ หรืออาจเรียกว่า สภาวะธรรมาธิปไตย

กรรม คือการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ต้องมุ่งที่กรรมดี การกระทำกรรมแต่กรรมดีหรือ กุศลกรรม ละเว้นกรรมชั่ว เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์และเพื่อการพัฒนาไปในทุกทาง ทั้งทางจิตใจ (ทำใจให้ผ่องแผ้ว) และด้านความเจริญทางวัตถุ สมดังพุทธพจน์อันเป็นคำสอนโดยย่อ

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, คือการไม่ทำบาปทั้งปวงทางใจ วาจา กาย,

กุสะลัสสูปะสัมปะทา, คือการทำความดีหรือกุศลให้ถึงพร้อมทางใจ วาจา กาย

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, คือการทำจิตใจของตนให้ผ่องใสหมดจดจากโลภ โกรธ หลง

เอตัง พุทธานะสาสะนัง, ธรรม 3 อย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย






กฎแห่งกรรมในชั้นสูง เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา คือกฎของความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล อันเป็นกฎทั่วไป (General Law) ที่ครอบคลุมเหตุปัจจัยทั้งหมดในเอกภพนี้ มีหลักโดยเพียงสั้นๆ คือ

1. “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี” หรือ เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล คือถ้าเหตุดี ผลดี ถ้าเหตุชั่ว ผลชั่ว

2. “เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น” หรือ เมื่อเหตุเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น คือถ้าเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีก็เกิดขึ้น และถ้าเหตุชั่วเกิดขึ้น ผลชั่วก็เกิดขึ้น

3. “เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี” หรือ เมื่อเหตุไม่มี ผลก็ไม่มี คือถ้าทั้งเหตุดีและชั่วไม่มี ทั้งผลดีและชั่วก็ไม่มี (อพฺยากตาธมฺมา ธรรมที่เป็นกลาง)

“เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ” หรือ เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ (ด้วย) คือถ้าทั้งเหตุดีและชั่วดับ ทั้งผลดีและชั่วก็ดับด้วย

ถ้าเราจะนำกฎอิทัปปัจจยตา ดังกล่าวนี้ไปพิจารณาลักษณะทั่วไป (General) ในสถานการณ์ปัจจุบัน อธิบายได้ว่า เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 40 เป็นเหตุ รัฐบาลทักษิณเป็นผล หรือ เพราะรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นผลให้รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฐิ เป็นปัจจัยให้เกิดผลร้าย ผลเสียต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ แผ่ขยายความเลวร้ายออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในประเทศชาติ นับแต่การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ฯลฯ ที่เห็นเด่นชัดจนยากที่จะแก้ไข เช่น ปัญหาโจรอำมหิตแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ ความแตกแยกทางความคิดของคนในชาติ นี่ก็ยากที่จะแก้ไข ทั้งนี้ล้วนมาจากเหตุ คือ รัฐธรรมนูญ ปี 40 อันเป็นมิจฉาทิฐิ และความเลวร้ายที่สั่งสมมายาวนานของระบอบเผด็จการ 2 ขั้ว คือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ 17 ฉบับ และรัฐประหาร 14 ครั้ง ยาวนานถึง 75 ปี

ในอีกนัยหนึ่ง พระพุทธองค์ ทรงนำมาอธิบายกับการปรุงแต่งของจิต เช่น กลัว โลภ โกรธ หลง ฯลฯ อันทำให้เกิดความทุกข์ ทรงเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ปฏิจจสมุปบาท” (ปฏิจจะ แปลว่าอาศัย, สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้นครบถ้วน) “กล่าวคือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ทั้งนี้เมื่อคิดจะดับทุกข์ก็สืบสาวไปหาเหตุ คือ อวิชชา




เมื่อพิจารณาด้านปัจเจกบุคคล (Individual) ดูลึกเข้าไปในหัวใจของผู้นำนักการเมืองไทยบางคน เป็นใจที่โลภ ฉลาดแกมโกง และมีจุดยืนเพื่อประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงกันทั้งโคตร เป็นตระกูลสกปรก แต่ทำไมประชาชนทางภาคอีสานยังจงรักภักดีนักการเมืองชั่วเหล่านี้อยู่ ทั้งนี้เพราะข่าวสารไม่ทั่วถึง และเชื่อตามที่นักเลือกตั้งทาส ซึ่งเป็นลูกพรรคฯ ไปพูดครอบงำไว้ ทั้งๆ ที่เงินที่นำไปแจกชาวบ้านเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เงินส่วนตัวของนักการเมืองผู้โลภฉลาดแกมโกง พวกเขาเอาเงินของชาติภาษีประชาชนทั่วไปไปแจกชาวบ้าน จนทำให้ชาวบ้านซึ่งขาดโอกาสอยู่แล้วรู้สึกเป็นบุญคุณ

ต้องเข้าใจตามกฎธรรมชาติว่ามนุษย์เมื่อทำอะไรโดยเจตนา จงใจกระทำย่อมเป็นกรรม ทั้งความดีและชั่ว อันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยก่อให้เกิดผลดี และผลชั่วร้ายสืบเนื่องต่อไปเป็นลูกโซ่ กรรม หรือการกระทำย่อมไม่ว่างเปล่า และเป็นไปอย่างตายตัว ผลที่ต้องการจะสำเร็จย่อมเกิดจากการลงมือทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยการอ้อนวอน หรือนอนคอยโชคชะตา กรรมที่ทำแล้วต้องมีผล และผลต้องมาจากเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว กฎแห่งกรรมจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่เหนือวิทยาศาสตร์

พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” กฎแห่งกรรมนี้เป็นกฎสากลไม่เลือกหน้าอินทร์ หน้าพรหม ยาจก วณิพก ราชา กฎแห่งกรรมให้ความยุติธรรมที่สุดต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

คณะผู้ปกครองไทย ชุดแล้วชุดเล่าขาดปัญญา พวกเขามุ่งแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ทำทุกอย่างที่จะให้เกิดความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ปรากฏว่ายิ่งแก้ไข ยิ่งมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมากขึ้นๆ เท่าใด ผลปรากฏว่าประเทศชาติยิ่งยากจนลงๆ โดยลืมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อันเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในชาติ นั่นก็คือการสร้างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย (ซึ่งมีผู้ปกครองไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่โง่ไม่ปันใคร ที่เข้าใจเช่นนั้น ทั้งๆ ที่มันล้มเหลวแล้ว ล้มเหลวอีกอย่างซ้ำซาก)

ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหารชุดล่าสุดที่นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน แม้ว่าจะได้ล้มรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 รัฐบาล และพรรคไทยรักไทยฝ่ายมิจฉาทิฐิอีกฝ่ายหนึ่งลงไปแล้วก็ตาม

แต่ประชาชนจำนวนมากยังหลงเข้าใจว่า คณะรัฐประหารชุดล่าสุดล้มรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และล้มรัฐบาลประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าจะโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงไปมากมายเพียงใด ก็ยังมีพระคุณและมีผลงานสำหรับชาวบ้าน ชาวนา แท็กซี่ สามล้อ พวกเขาเข้าใจอย่างนั้น




จึงเป็นเหตุให้คณะพรรคที่ถูกยุบ และพวกที่แปลงร่างเพื่อตบตาชาวบ้าน เช่น กลุ่มพีทีวี นำโดยนายวีระ มุสิกพงษ์ จำเลยของคนสงขลาและพัทลุง กลุ่มพิราบขาว กลุ่มสมาพันธ์ประชาธิปไตยของพวกหมอเหวง โตจิราการ กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ (รัฐประหาร) แต่พวกเขาเหล่านี้ล้วนพิทักษ์รักษาระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญโดยมีการเลือกตั้ง (โดยพวกเขาหลง หรือจงใจโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย) แท้จริงพวกนี้เป็นทาสน้ำเงินของคุณทักษิณทั้งสิ้น

อีกนัยหนึ่ง กลุ่มคนเหล่านี้มียุทธศาสตร์ ต่างกันจากคุณทักษิณ แต่ได้ทำแนวร่วม โดยฝังตัวอยู่ในพรรคไทยรักไทย เพื่อจะหลอกเอาเงินของคุณทักษิณมาใช้ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่กลุ่มของตนๆ ตามแนวทฤษฎีการเมืองฝ่ายซ้ายที่พวกเขาศรัทธาเชื่อมั่น

ทั้งๆ ที่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้ทำร้ายประเทศชาติ และประชาชนมาแล้วทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมายอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ทำไมรัฐบาลของฝ่ายรัฐประหาร คือรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองของพวกโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้

ทั้งก็เพราะว่า คณะ คมช. และรัฐบาล ปล่อยให้ คณะ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งแนวทางนี้ มรรควิธีนี้เป็นมิจฉาทิฐิ แต่พวก กมธ. เสียงข้างมาก ก็ยังทำเช่นเดียวกับการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1 จนถึงฉบับที่ 18 นี้ไม่ต่างอะไรกันเลย คือ พวกเขาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย จะไม่ให้เรียกว่ามันโง่เขลา เบาปัญญา หรือจะเป็นพวกจงใจทำลายชาติ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่ต่างอะไรคณะที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี 40 เลย

เราเคยแนะนำ คุณชาติชาย ชุณหะวัณ คุณบรรหาร คุณชวน พลเอกชวลิต คุณทักษิณ ชินวัตร ตอนตั้งพรรคใหม่ๆ และตั้งใจแนะนำรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างเต็มที่ว่า แนวทางร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นแนวทางนรกของชาติและปวงชนไทย แต่พวกเขาไม่เคยพิจารณา ไม่เคยใส่ใจ อีกไม่นานคงได้พิสูจน์กันอีกครั้ง บางทีอาจจะเสีย 3 ถึง 5 จังหวัดภาคใต้ไปแล้วก็ได้

ส่วนแนวทางสัมมาทิฐิ คือ การสถาปนาระบอบ (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาร่างรัฐธรรมนูญ (กฎหมาย) ภายหลัง โดยให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง และรักษาระบอบการปกครองโดยธรรมนั้นไว้ เพียงเท่านี้ง่ายสุดๆ หรือว่ามีแต่คนมืดบอดไปหมดแล้ว

จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ Online"งานเขียนโดย มะเมี้ยะ




ไปข้างบน