เจ็ดความตายทลายทั้งโลก
ผมกำลังเล่าถึงภาวะโลกร้อน มหันตภัยที่มนุษย์ต้องเผชิญ โดยเริ่มต้นจากการจัดลำดับ "เจ็ดความตายทลายโลก" เพื่อให้คุณเข้าใจว่า ภาวะโลกร้อนน่ากลัวเพียงใด โดยไล่เรียงจากลำดับที่น่ากลัวน้อยสุดไปหามากสุด เริ่มจาก "ดาวดับ" หรือปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์หมดพลังงาน แปรสภาพเป็นหลุมดำขนาดยักษ์ แม้ภัยที่ว่าน่ากลัวชะมัด แต่คงไม่เกิดในระยะเวลาอันสั้น จึงถูกจัดให้เป็นภัยน่ากลัวเป็นอันดับ 7
คราวนี้ถึงเวลาของอันดับ 6 เป็นความตายที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติครับ มนุษย์เรานี่แหละสร้างขึ้นมา คุณ ๆ คงเคยนิยายวิทยาศาสตร์หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยครั้ง เช่น คนเหล็ก หุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์ลุกขึ้นมาเย้ ๆ ฆ่ามนุษย์ดีกว่า ตูม ๆ ฆ่ามัน (เพลงเชียร์ของหุ่นยนต์ระหว่างล้างโลก)
เรื่องนี้เป็นไปได้นะครับ เพราะจากการพัฒนาของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน แต่ละปีจะฉลาดขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่เชื่อลองดูรอบตัวสิครับ หลายประเทศมีหุ่นยนต์ทำงานในโรงงาน ช่วยทำงานบ้าน ฯลฯ ลองคิดถึงภาพ วันหนึ่งคุณกลับไป เจอแม่บ้านจักรกลเอาไม้กวาดตีหัว ก่อนจับคุณยัดใส่เครื่องซักผ้า น่ากลัวดีไหมครับ
อย่างไรก็ตาม แม้มีความเป็นไปได้ที่หุ่นหรือคอมพิวเตอร์จะทรยศ แต่เราทราบล่วงหน้า มีผู้กล่าวถึงบ่อยครั้ง จึงมีการป้องกันในรูปแบบต่าง ๆ ไว้ก่อน คงต้องรออีกนานกว่าจะถึงวันนั้น
อันดับ 5 กล่าวถึงภูเขาไฟ ในอดีตเราเคยได้ยินชื่อภูเขาไฟล้างเมือง เช่น ปอมเปอี การากาตั้ว แต่หากย้อนเวลาไปก่อนหน้านั้นเป็นร้อยล้านพันล้านปี โลกมีภูเขาไฟใหญ่โตกว่านั้นเยอะ บางลูกอาจระเบิดรุนแรงจนทำให้ฝุ่นภูเขาไฟลอยเคว้งคว้างกลางฟ้า บดบังแสงตะวัน ทำให้อุณหภูมิของโลกเย็นลงฉับพลัน จนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ ว่าง่าย ๆ คือแข็งตายหรือไม่มีอะไรกินจนตาย
มหันตภัยจากภูเขาไฟยักษ์เป็นที่กล่าวถึง เพราะนักวิทยาศาสตร์พบว่า ในอดีตมีภูเขาไฟทำนองนี้ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้เกิดการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในหลายช่วงกาลเวลา ความรุนแรงพอทำให้โลกเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ แต่นั่นเป็นยุคก่อน โลกยังไม่ค่อยเสถียร ปัจจุบัน เราเชื่อว่า โอกาสที่จะเจอภูเขาไฟทลายโลกคงมีน้อย เทคโนโลยีของเราก็ก้าวไกล น่าจะตรวจพบก่อน รวมทั้งหาทางแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนนี้ได้
ความตายทลายโลกอันดับ 4 เป็นที่กล่าวถึงกัน ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ และในนิยายหรือในภาพยนตร์ มีมาตั้งแต่ผมยังเด็ก เคยดูหนังเรื่อง "อุกาบาต" มีหินล่องลอยมาจากฟ้าพุ่งเข้าชนโลก จนรัสเซียกับอเมริกาต้องร่วมมือกัน ส่งจรวดปรมาณูไปบอมบ์เจ้าผีพุ่งใต้ยักษ์จนระเบิดสิ้น
อุกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก เป็นที่ฮอตฮิต จนกล่าวได้ว่า ประเด็นนี้แหละหากินในวงการภาพยนตร์มากสุด คุณคงจำภาพยนตร์เรื่อง Armageddon ที่มีเพลงเพราะชะมัดกับนางเอกสวยชะมัด หรือ Deep Impact ที่เนื้อเรื่องดีกว่า สมจริงกว่า แต่นางเอกไม่สวยเพลงไม่เพราะ ก็เลยไม่ดัง หนังทำนองนี้จะลงเอยด้วยการยิงจรวดใส่หรือนำระเบิดขึ้นไปฝังบนดาวหาง จากนั้นนักแสดงคนหนึ่งก็ต้องตาย หรือไม่ก็ตายกันยกลำ เพื่อให้คนบนโลกรอด ร้องไห้ และสร้างอนุสาวรีย์ให้
เหตุผลที่ดาวหางชนโลกถูกพูดถึงกันมาก เพราะมันเคยมาชนเราแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อน (ดาวหางเกลียดโลกมาก ไม่มีอะไรทำก็พุ่งเข้ามาชน) ครั้งนั้นเป็นดาวเคราะห์น้อย กว้างประมาณ 10 กิโลเมตร เหตุเกิดที่แหลมยูกาตาน อ่าวเม็กซิโก พอชนตูมเข้าให้ เกิดแรงสั่นสะเทือน คลื่นยักษ์ และไฟบรรลัยกัลป์ ฆ่าไดโนเสาร์ไปมากมาย จนเด็กชายธราร้องไห้ทุกครั้งที่ดูสารคดีเรื่องนี้ ผลต่อเนื่องคล้ายกับอภิมหาภูเขาไฟ ฝุ่นต่าง ๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า ทำให้โลกเย็นเฉียบพลัน ไดโนเสาร์ลาตายเกือบหมด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมได้โอกาส จึงรีบพัฒนาตัวเอง จากหนูกลายเป็นตัวอื่น ๆ ก่อนยึดโลกจากไดโนเสาร์ได้สำเร็จ หากไม่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นไปได้ว่า พวกเราจะไม่ได้มานั่งยิ้มแย้มก่อม๊อบกันในวันนี้
อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น มีน้อยมาก อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ก็พัฒนาขีดความสามารถไปเรื่อย จนสามารถโชว์ออฟ ซ้อมยิงดาวหางขนาดเล็กที่โคจรผ่านไปมา จึงเป็นที่เชื่อมั่นว่า ภายในสี่สิบห้าสิบปีข้างหน้า หากดาวหางไม่มาเยือน โอกาสของเธอที่จะระเบิดโลกคงหมดไป เพราะเราสามารถสร้างอาวุธยิงตูมไปถล่มเธอตั้งแต่อยู่ในอวกาศ
ความตายลำดับที่ 3 น่ากลัวมากในสมัยก่อน ตอนนี้ก็เริ่มฮึ่มฮั่มกันนิด ๆ คือ "สงครามนิวเคลียร์" นับตั้งแต่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เจออะตอมมิกบอมบ์เข้าไปสองลูก คนตายไปหลายแสน โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น รัสเซียและอเมริกาจ่อระเบิดเข้าหากัน ใครยิงก่อน อีกฝ่ายยิงสวน คราวนี้แหละจะได้ตายกันทั้งโลก กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงกันนานปี
จวบจนยุคสงครามเย็นผ่านไป ภัยนี้เริ่มคลี่คลาย แต่ยังวางใจไม่ได้ เพราะปรมาณูที่มีอยู่ในโลก มากเกินพอที่จะฆ่าทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่เชื่อว่า คนกดระเบิดก็คงไม่อยากตาย ภัยนี้จึงมีความน่ากลัวเพียงอันดับสาม
อันดับ 2 ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงในสมัยก่อน คนมัวแต่ไปกลัวระเบิดปรมาณูหรือดาวหางชนโลก คิดว่าวงการแพทย์เอาชนะ "โรคระบาด" เรียบร้อยแล้ว แต่เชื้อโรคไม่ใช่เป้านิ่ง รอให้แพทย์เอายายิงจนตาย เชื้อโรคมีการพัฒนาตลอดเวลา เราจึงเผชิญหน้ากับโรคใหม่ ๆ อยู่เสมอ แถมเรายังเจริญก้าวหน้า ใครเป็นโรคที่แอฟริกา สามารถเดินทางมาถึงเมืองไทยภายในสิบชั่วโมง ข้ามต่อไปที่โน่นที่นี่ได้ทั่ว หากเกิดโรคระบาดแบบตายจริงตายเยอะ คงใช้เวลาไม่นานในการกระจายไปทั่วโลก
ภัยโรคระบาดแม้จะไม่เกิดในทำนองล้างโลก แต่ก็มีความเป็นไปได้ อีกทั้งยังมีโรคระบาดน้อย ๆ สร้างความสูญเสียให้กับสังคมและเศรษฐกิจเนือง ๆ เช่น ไข้หวัดนก เราคงต้องต่อสู้กับโรคระบาดไปอีกนาน ภัยนี้จึงถูกจัดให้น่ากลัวเป็นอันดับสอง
แอ่น...แอน...แอ๊น ในที่สุด ผมก็เขียนมาจนถึงภัยอันดับหนึ่ง คุณคงเดาได้ว่า หมายถึงภัยใด เพราะที่กล่าวมาทั้งหมด ผมยังไม่พูดถึง "ภาวะโลกร้อน" แม้แต่น้อย นี่แหละครับคือสุดยอดความตายล้างโลกในยุคปัจจุบัน
ทำไม "ภาวะโลกร้อน" จึงน่ากลัวปานนั้น เหตุผลตอบง่าย เพราะเป็นภัยเดียวที่เกิดขึ้นแล้ว ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า สะสมกันมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากขึ้นสู่ห้วงฟ้า ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เพียงแต่เราไม่มีความรู้เพียงพอในขณะนั้น จึงไม่มีใครกล่าวถึง จวบจนมาถึงยุคนี้ เราเริ่มรู้แล้ว น่าเสียดาย เรารู้ช้าเกินไป
ความน่ากลัวอันดับแรกของภาวะดังกล่าว คือ ถึงรู้ก็แก้ไม่ได้ จะให้นักวิทยาศาสตร์ไปสร้างแอร์เครื่องยักษ์ ทำให้โลกเย็นลง ไม่มีทางหรอกครับ หรือจะใช้วิธีการอื่น ๆ ก็ไร้ผล มีแต่ขอร้องคนทั้งโลกช่วยกันบรรเทาภาวะดังกล่าว แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ผลหรือไม่
ภาวะนี้ยังเกิดอย่างเชื่องช้า เรียกว่าตายทั้งทีต้องทรมานก่อน สร้างความปั่นป่วนให้ภูมิอากาศและกระบวนการของโลก ส่งผลสืบเนื่องไปสู่ภัยอื่น เช่น โรคระบาด สงครามนิวเคลียร์ เรียกว่าจะล้างกันทั้งที ต้องชวนพรรคพวกมาล้างด้วย ล้างกันให้สะอาดเรี่ยมเร้เรไร แมลงสาบจะได้ครองโลกไงล่ะ
จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์" โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
|