หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

สักการะพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ที่ "วัดเทวราชกุญชร"


อุโบสถวัดเทวราชกุญชร

เวลาที่นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านที่ท่าน้ำเทเวศร์ทีไร สายตาฉันก็จะมองไปเจอสิ่งก่อสร้างภายในวัดแห่งหนึ่ง ดูท่าว่าจะเป็นศาลาหรือวิหารของวัด มองเห็นหน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณเห็นได้ชัด และที่ท่าน้ำของวัดนี้ก็มักจะมีคนมาปล่อยหอยปล่อยปลาหรือมาให้อาหารปลาอยู่บ่อยๆ

มารู้ทีหลังว่าวัดนี้คือ "วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร" พระอารามหลวงในย่านเทเวศร์ ฉันจึงตั้งใจไว้ว่าจะต้องเข้าไปไหว้พระและชมสิ่งต่างๆ ภายในวัดให้ได้สักวันหนึ่ง


พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ด้านหลังเป็นอาคารไม้สักทอง

หลังจากสบโอกาสเหมาะในวันที่อากาศดี ฉันก็ได้มากราบพระที่วัดเทวราชกุญชรนี้จนได้ และก็ได้รู้ประวัติของวัดนี้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่เดิมมีชื่อว่าวัดสมอแครง คู่กับวัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก คำว่า "สมอแครง" นั้น น่าจะมาจากคำว่าถมอแครง เป็นภาษาเขมร แปลว่าหินแกร่ง แต่เรียกเพี้ยนกันต่อมาเป็นวัดสมอแครง

จนมาเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระองค์ทรงรับวัดสมอแครงนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า "วัดเทวราชกุญชร" โดยนำชื่อมาจากพระนามเดิมของกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ต้นสกุล กุญชร ณ อยุธยา พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ผู้ที่ทรงเป็นคนบูรณปฏิสังขรณ์วัด

ตามชื่อของวัดเทวราชกุญชรนั้น หากแปลให้ตรงตัวก็คือช้างของเทวดา หรือหมายถึงพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนั่นเอง ดังนั้นตราสัญลักษณ์ของวัดเทวราชกุญชรซึ่งเขียนขึ้นโดยกรมศิลปากรนั้นจึงเป็นภาพพระอินทร์ทรงประทับบนช้างเอราวัณ พระอินทร์ทรงถือวชิราวุธซึ่งเป็นอาวุธประจำพระองค์ มีฉัตรสีขาว 7 ชั้น อยู่ด้านซ้ายและขวาประทับนั่งอยู่บนช้างเอราวัณ

และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดเทวราชกุญชรก็ได้จัดทำประติมากรรมหล่อสัมฤทธิ์เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของวัดเทวราชฯ เพื่อมาประดิษฐานไว้ที่วัดให้ประชาชนได้สักการะกัน แต่ก่อนที่จะไปไหว้พระอินทร์ ก็ตามฉันมาไหว้พระและชมสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจในวัดกันก่อนดีกว่า


เข้าไปกราบพระในมณฑปจตุรมุขกันได้

สถานที่แรกที่ฉันมุ่งตรงไปก็คือพระอุโบสถของวัดเทวราชฯ ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีรูปทรงคล้ายกับพระอุโบสถวัดพระแก้ว และเข้าไปกราบพระประธานภายในพระอุโบสถของวัด ซึ่งมี "พระพุทธเทวราชปฏิมากร" พระพุทธรูปปางมารวิชัยนั่งสง่าเป็นประธานอยู่ด้านใน ซึ่งนามของพระพุทธรูปนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้พระราชทานให้

และสิ่งที่น่าสนใจภายในพระอุโบสถที่ฉันขอแนะนำให้ได้เดินชมกันก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัด ที่ด้านบนเหนือช่องหน้าต่างเขียนเป็นภาพเทวดาชุมนุมกันขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนสิ่งที่ฉันว่าน่าสนใจก็อยู่ที่จิตรกรรมฝาผนังส่วนล่างลงมาระหว่างช่องหน้าต่าง ซึ่งวาดเป็นรูปพระภิกษุกำลังปลงอสุภกรรมฐาน หรือเจริญกรรมฐานด้วยการเพ่งมองศพ เพื่อให้เห็นว่าคนเราที่ดูสวยสดงดงามยามมีชีวิตนั้น พอตายลงก็กลายเป็นซากศพ เป็นของน่าเกลียดโสโครก โดยการเจริญกรรมฐานประเภทนี้จะเป็นการระงับอารมณ์ใคร่และกามารมณ์ ก็เป็นภาพจิตรกรรมที่แปลกแตกต่างจากวัดอื่นๆ ไม่น้อย


พระพุทธเทวราชปฏิมากร

ออกจากพระอุโบสถมาแล้ว อย่าลืมไปกราบพระในมณฑปจตุรมุข มณฑปที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2536 แทนที่พระอุโบสถหลังเก่าที่ทรุดโทรมมากแล้ว ภายในประดิษฐาน "หลวงพ่อดำ" พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งด้านตรงข้ามพระประธานก็ยังมีหุ่นขี้ผึ้งรูปจำลองพระอริยมุนี (ศรี ฐิตพโล) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 9 ซึ่งเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของบรรดาลูกศิษย์เป็นอย่างมาก จึงได้ร่วมกันสร้างหุ่นขี้ผึ้งจำลองรูปของท่านขึ้นมาให้ได้สักการะกัน

กราบพระเรียบร้อยแล้วคราวนี้เราจะไปสักการะพระอินทร์กัน รูปหล่อของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนี้ได้มีการขนย้ายและบวงสรวงกันมาตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งก็มีประชาชนมากมายมาร่วมขบวนแห่ และได้ไปชมการนำพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณขึ้นประดิษฐานบนแท่น


กุฏิเทวราชกุญชร กุฏิของเจ้าอาวาส

และสำหรับผู้ที่ต้องการมากราบสักการะพระอินทร์นั้น ทางวัดก็ได้เตรียมเครื่องบูชาทิพย์ไว้ให้บริการ เพราะไม่อนุญาตให้บูชาด้วยพวงมาลัย ดอกไม้ หรือจุดธูปเทียนปิดทองแต่อย่างใด และเครื่องบูชาทิพย์ที่ว่านั้นก็ประกอบไปด้วยผ้าปกกระพอง ผ้าเยียรบับ พู่จามรี สายประโคน และดอกไม้ทิพย์ พร้อมธูปเทียน ทอง เงิน นาก

รูปหล่อของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารไม้สักทองที่กำลังก่อสร้างเพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด โดยอาคารไม้สักทองนี้แต่เดิมเคยเป็นบ้านไม้สักทองหลังใหญ่อยู่ที่จังหวัดแพร่ ก่อนจะถูกขายและนำมาไว้ที่นาวิน ปาร์ค ที่รังสิต จังหวัดปทุมธานี และจากนั้น ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน และท่านผู้หญิงมณฑินี มงคลนาวิน ก็ได้ถวายบ้านสักทองหลังนี้ให้แก่วัดเทวราชกุญชร เพื่อสร้างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองให้เป็นแหล่งเรียนรู้และอนุรักษ์ เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ.2549 และทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ.2550 ด้วย


ภาพจิตรกรรมฝาผนังภิกษุปลงอสุภะ

ที่วัดเทวราชฯ ยังไม่หมดสิ่งที่น่าสนใจแต่เพียงเท่านี้ เพราะเมื่อเดินชมไปรอบๆ ฉันก็ได้เห็นอาคารหลายหลังใกล้ๆ กับอาคารไม้สักทอง ซึ่งเป็นอาคารทรงปั้นหยาหลังคามุงกระเบื้องว่าว ดูแล้วได้บรรยากาศของอาคารสมัยเก่า อาคารทรงปั้นหยาชั้นเดียวทาด้วยสีเหลืองสดใสนั้นเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม ส่วนอาคารเทวราชธรรมศาลานั้นก็คือศาลาการเปรียญ เป็นอาคาร 2 ชั้น ศิลปะทรงไทยตรีมุข มีบันไดทางขึ้นสองทางทั้งซ้ายและขวา ด้านบนมีพระพุทธรัตนโกสินทร์มหาวชิราลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และหม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา พระราชทานให้ไว้

ส่วนกุฏิเทวราชกุญชรนั้น ก็เป็นกุฏิของเจ้าอาวาส เป็นอาคารทรงปั้นหยาสองชั้นสวยงามเช่นกัน และถัดจากจากกุฏิเทวราชกุญชรคือเรือนเทวราชธรรมสภา อาคารทรงตรีมุขสองชั้นที่ได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานเลขานุการของวัด ซึ่งสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในวัดนี้ถูกบูรณะขึ้นมาจนสะอาดเรียบร้อยสวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้ก็ในช่วงปี พ.ศ.2544 ที่พระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตโต) มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้นั่นเอง

และนี่ก็เป็นอีกวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ฉันอยากจะแนะนำให้คนที่ชอบเข้าวัดเข้าวาได้มากราบไหว้พระ สักการะพระอินทร์ และชมความงดงามของสิ่งก่อสร้างภายในวัดกัน

* * * * * * * *

"วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร" ตั้งอยู่ที่ 90 ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 หากมาจากทางเทเวศร์เมื่อถึงแยกสี่เสาเทเวศร์ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างหอสมุด วัดจะอยู่ตรงสุดซอย มีรถประจำทางสาย 3, 9, 16, 19, 30, 32, 33, 43, 64, 65, 110 ผ่าน สอบถามรายละเอียดโทร.0-2281-2430

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์"โดย คุณหนุ่มลูกทุ่ง


ไปข้างบน