หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนชะตาได้หรือ????


อลงกรณ์ รัชวงษ์



คนยุคนี้อาจไม่เชื่อว่าโชคชะตาขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิตกันแล้ว กลับไปมองว่าเพียงแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้นก็สามารถพลิกผันชีวิตจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ กระแสการเปลี่ยนชื่อจึงมาแรงสุด ๆ ส่งผลให้อาชีพหมอดูเปลี่ยนชื่อก็ผุดขึ้นตามไปด้วย หลายคนเชื่อว่าเปลี่ยนแล้วชีวิตดีขึ้น แต่บางคนเปลี่ยนชื่อแล้วก็กับเจอปัญหาใหม่มารุมเร้า อย่างไรก็ดีหมอดูหลายคนทักว่าแก้ชื่อได้ แต่กรรมแก้ไม่ได้

ยุคสมัยการตั้งชื่อ

การตั้งชื่อเริ่มมีมาตั้งแต่มนุษย์เกิดแล้ว สังคมไทยโบราณนิยมตั้งชื่อสั้น ๆ เพียงพยางค์เดียว เป็นภาษาไทยแท้ ๆ ที่มีความหมายง่าย ๆ ฟังแล้วก็สามารถสื่อให้เข้าใจได้ทันที ผู้ที่ตั้งชื่อส่วนมากจะเป็นพ่อแม่ซึ่งตั้งชื่อให้กับลูกของตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นก็ให้พระตั้งชื่อให้เพื่อความเป็นสิริมงคล

อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต และผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งชื่อมากว่า 30 ปี กล่าวถึงความนิยมในการตั้งชื่อของคนยุคก่อนอีกแง่มุมหนึ่งว่า

“ส่วนหนึ่งคนไทยจะมีความเชื่อในเรื่องภูตผี กลัวว่าเด็กเกิดใหม่นั้นผีจะเอาไปกิน อายุจะไม่ยืน เพราะคนสมัยก่อนส่วนมากเสียชีวิตตั้งแต่ตอนคลอด เนื่องจากสาธารณสุขยังไม่เจริญ เลยตั้งชื่อลูกหลานให้ฟังน่าเกลียดเข้าไว้เพราะผีจะได้ไม่เอาไปกิน เลยนิยมตั้งชื่อเป็นสัตว์ หรือดอกไม้ เพื่อหลอกผี ”

เมื่อสังคมเจริญขึ้นมา คนเริ่มมีการศึกษามากขึ้น การตั้งชื่อจึงเริ่มมีแนวความคิดและมีเหตุมีผลในเรื่องการตั้งชื่อมากขึ้น วิธีการตั้งชื่อจึงเริ่มมีความซับซ้อนตามไปด้วย และเริ่มมีการใช้หลักโหราศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อ


เสฐียรพงษ์ วรรณปก



ร.อ.ตะวัน ทักษณา อดีตนายทหารเรือที่ศึกษาศาสตร์แห่งการตั้งชื่อและลายเซ็นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี เจ้าของนามปากกา “ตะวันณา” เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการตั้งชื่อโดยยกย่องให้ รัชกาลที่ 4 เป็นพระบิดาแห่งการตั้งชื่อ เนื่องจากพระองค์ทรงเก่งภาษาบาลีมาก เช่น พระนามของพระโอรสพระธิดาก็คล้องจองกัน คือ มเหศวรวรศิววิลาศ ,วิษณุนาถนิภาธร, สมรรัตน์สิริเชษฐ์, นเรศวรฤทธิ์ , พิชิตปรีชากร , อดิศรอุดมเดช, ภูธเรศธำรงศักดิ์ ,ประจักษ์ศิลปาคม , พรหมวรานุรักษ์ , ราชศักดิ์สโมสร ,ทิวากรวงศ์ประวัติ เป็นต้น

สอดคล้องกับ อ.เสฐียรพงษ์ ที่แสดงความเห็นว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นมีการใช้ “หลักทักษา” ( หมายถึง การเรียกชื่อดวงดาวนพเคราะห์ทั้ง 8 ดวงด้วยกัน คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ พฤหัสบดี ราหู และศุกร์ ) มาเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย มีหลักว่าชื่อของผู้ชายควรใช้อักษรที่มีความหมายเป็น “เดช” นำหน้า หมายถึง ความเข้มแข็งน่าเคารพยำเกรง ส่วนผู้หญิงควรใช้อักษรที่เป็น “ศรี” หมายถึงความมีเสน่ห์ เป็นแม่ศรีเรือน รวมทั้งต้องดูว่าอักษรใดเป็น “กาลกิณี” หมายถึง ความวิบัติ โชคร้าย เป็นต้น

จากเดิมที่นิยมตั้งชื่อสั้น ๆ ฟังง่าย ๆ เช่น ดำ แดง ป้อม เอียด น้อย การตั้งชื่อในยุคต่อมาจึงกลายเป็นชื่อที่ยาวขึ้น มีความไพเราะสละสลวยมากขึ้นกว่าเดิม


ยาจิตร์ ยุวบูรณ์



ค่านิยมการตั้งชื่อ

ในยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม บริหารประเทศ ระหว่างปี 2482-2489 ถือเป็นการเดินหน้าสู่ยุคที่เรียกว่า “รัฐนิยม” มีการออกกฎระเบียบหลายอย่างเพื่อให้คนไทยถือปฏิบัติเพื่อให้ดูเป็นอารยประเทศเหมือนต่างชาติ เช่น ให้คนไทยหันมาใส่หมวกทุกครั้งที่ออกจากบ้าน

นอกจากนี้ท่านผู้นำยังได้ส่งเสริมให้คนไทยใช้ชื่อและนามสกุลให้เป็นไทยแท้ ๆ ถ้าใครตั้งชื่อสกุลเหมือนต่างชาติก็จะต้องเปลี่ยน ในยุคนี้ชื่อของผู้ชายจึงต้องเป็นชื่อไทยที่มีความหมายสมชายชาตรี จะให้ชื่อก้ำกึ่งแบบผู้หญิงไม่ได้ อย่างชื่อ “สมจิตร” แปลว่าสำเร็จสมดังตั้งใจ กลับถูกมองว่าชื่อฟังดูเป็นผู้หญิงไปหน่อย

ดังนั้นบ้านใดที่มีลูกชายก็มักจะให้ชื่อ “ สมชาย ” เกือบทุกบ้าน ชื่อสมชายจึงกลายเป็นชื่อยอดฮิตติดอันต้น ๆ ตำนานที่มาของชื่อสมชายจึงเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้แม้จะไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการว่าคนใช้ชื่อสมชายเป็นจำนวนเท่าใด แต่สามารถประมาณได้ว่าเป็นจำนวนหลายล้านคนทีเดียว

ชื่อยอดฮิตอย่างสมชาย เริ่มจางหายไปในยุคหลังต้นปี 2500 เพราะบรรดาพ่อแม่ชนชั้นกลางที่เริ่มมีการศึกษาสูงและเป็นกลุ่มคนที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ ค่านิยมของพ่อแม่ยุคนี้จึงต้องการหาชื่อที่ดีให้กับลูก ซึ่งส่วนมากจะอาศัยหมอดูหรือพระในการตั้งชื่อด้วยการผูกดวง จึงกลายเป็นยุคที่เริ่มมีศาสตร์ในการตั้งชื่อต่าง ๆจากต่างประเทศ เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น

ชื่อในยุคต่อ ๆ มาจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมอย่างไม่มีรูปแบบตายตัว อย่างเช่นบางยุคก็นิยมตั้งชื่อให้สั้นเพื่อให้ดูเก๋ไก๋ โดยเฉพาะชื่อเด็กผู้ชาย เช่น พชร , ตฤณ , บรม , บดี เป็นต้น มาบางยุคกลับไปนิยมตั้งชื่อให้ยาวเข้าไว้ฟังดูจะได้ไม่ซ้ำกับใคร ขณะที่บางยุคจะแห่ตั้งชื่อตามคนมีชื่อเสียงหรือตัวละครในนิยายยอดฮิตที่คนอ่านติดกันทั้งเมือง เป็นต้น

ขณะที่บางยุคก็นิยมตั้งชื่อด้วยภาษาไทยล้วน ๆ ซึ่งฟังแล้วสามารถแปลความหายได้ทันที เช่น กรองทอง ทศพร แขไข เป็นต้น พอมาถึงอีกยุคหนึ่งกลับไปนิยมใช้ภาษาบาลี สันสกฤต มาตั้งชื่อ ซึ่งโดยมากจะเป็นพระตั้งให้

มาถึงยุคปัจจุบันนี้ ค่านิยมในการตั้งชื่อดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนแทบไม่มีหลักเกณฑ์อะไรให้ยึดเกาะแล้ว เช่นเมื่อไม่นานมานี้ วีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ออกมากล่าวว่าคนไทยยุคนี้มีค่านิยมการตั้งชื่อเล่นลูกที่ผิดไปจากเดิมมาก เพราะหันไปใช้ชื่อเป็นภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาคอีสานที่นิยมตั้งชื่อลูกเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหากยังไม่มีการแก้ไข จะส่งผลให้ใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนถึงขั้นวิบัติได้

กระแสการตั้งชื่อที่ดูผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนมีนักภาษาศาสตร์หลายคนขึ้นมาตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยในยุคนี้หันมาเปลี่ยนชื่อกันมาก ซึ่งหลาย ๆ ชื่อทั้งเขียนยากและอ่านยากไปด้วย บางครั้งไม่มีคำแปลด้วย ขณะที่เริ่มมีการนำพยัญชนะที่สมัยก่อนไม่นิยมนำมาใช้ เช่น ฎ ฏ ฬ ฐ ฆ รวมไปถึงการใช้ “การันต์” ผิดที่ผิดทาง


จิตรามณฑน์ กับสลิตา เตชะไพบูลย์



เปลี่ยนชื่อ - สะท้อนสังคมมีปัญหา

เคยมีข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า คนขอนแก่นและโคราชแห่กันไปเปลี่ยนชื่อถึงวันละ 100 กว่าราย เพียงแค่มีหมอดูทักว่า คนชื่ออักษร ส-ป-ท ในโคราช-ขอนแก่น ตกที่นั่งปีหมูหากินฝืด ชีวิตไม่ราบรื่น ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของคนชนบทที่ยังไม่.....

แม้ว่าการเปลี่ยนชื่อจะมีมานานแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันกระแสนิยมการเปลี่ยนชื่อนั้นมีมากขึ้นจนผิดหูผิดตา มีข้อมูลระบุว่าแต่ละเดือนมีผู้ไปขอเปลี่ยนชื่อเป็นจำนวนมากกว่าหมื่นรายทีเดียว

การเปลี่ยนชื่ออาจจะฟังดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่บางครั้งสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดทางสังคมที่เริ่มอ่อนแอ ไม่มั่นคงทางจิตใจ สะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจที่เริ่มจะแย่ลง จึงทำให้หลายคนพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยความเชื่อว่าการเปลี่ยนชื่อนั้นเหมือนเปลี่ยนชีวิตใหม่ เป็นวิธีการสร้างความหวังทางด้านจิตใจให้กับเจ้าของชื่อ ซึ่งอาจจะช่วยให้หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้ หรือช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้


คชาภา ตันเจริญ



หมอดู อาชีพยอดฮิต

ปัจจุบันอาชีพหมอดูกำลังกลายเป็นอาชีพยอดฮิตที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจของคนที่มีปัญหาทั้งเรื่องส่วนตัวรวมถึงอาชีพการงาน หมอดูปัจจุบันนอกจากทำนายทายทักเรื่องดวงแล้ว ส่วนหนึ่งมักนิยมแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนชื่อเพื่อแก้เคล็ด โดยเชื่อว่าชื่อเก่านั้นอาจมีส่วนกระทบกับดวงของเจ้าของชื่อเป็นเหตุให้เกิดเรื่องราว

อาชีพหมอดูตั้งชื่อมีการพัฒนาไปมาก ปัจจุบันมีการเพิ่มช่องทางให้บริการทางโทรศัพท์ รวมทั้งทำเป็นเว็บไซต์ตั้งชื่อเป็นจำนวนมากเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นด้วย

อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ในการตั้งชื่อ เพราะถือเป็นปราชญ์ราชบัณฑิต และเป็นนักธรรม 9 ประโยค จึงมีความรู้แตกฉานทั้งภาษาไทย ภาษาบาลีและสันสกฤต ที่ผ่านมาอ.เสฐียรพงษ์ตั้งชื่อและเปลี่ยนชื่อให้คนมากว่าล้านชื่อแล้ว

“ผมเริ่มมีความคิดอยากจะตั้งชื่อก็ตอนที่ไปเห็นคนเขียนชื่อผิด ๆ อย่างเมื่อก่อนไปเห็นอู่รถแห่งหนึ่งใช้ชื่อ “อู่วิสาข์หกิจ” เป็นคำมาจากไหนไม่รู้ บางทีไปเห็นคนใช้ชื่อ “สายัณห์” ดูแล้วรำคาญ ”

นั่นจึงเป็นมูลเหตุให้อ.เสฐียรพงษ์เริ่มมีความคิดที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญทางภาษามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มาเริ่มตั้งชื่ออย่างจริงจังสมัยที่เขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารแม่และเด็ก แต่มาดังเป็นพลุตอนย้ายมาเขียนประจำที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วิธีการตั้งชื่อของอ.เสฐียรพงษ์นั้น จะต้องดูวันเดือนปีเกิดของเจ้าของชื่อเพื่อหลีกเลี่ยงตัวกาลกิณี ส่วนจะตั้งชื่อด้วยภาษาไทย หรือบาลี สันสกฤตนั้น แล้วแต่เจ้าของชื่อจะใช้

“ผมตั้งชื่อส่วนมากจะใช้ภาษาบาลีหรือสันสกฤต เพราะตั้งชื่อไทยเพราะ ๆ แล้วบางคนไม่เอาเลย คำว่าเพราะของเขาต้องเป็นภาษาต่างชาติ แปลไม่ออก หรือบางชื่อต้องถามว่าอ่านอย่างไร ” อ.เสฐียรพงษ์ บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการตั้งชื่อ


รัตนประภา ดิศวัฒน์



แก้ชื่อได้ แก้กรรมไม่ได้

อลงกรณ์ รัชวงษ์ หรือที่ลูกศิษย์ลูกหาเรียกกันว่า “อาจารย์หนุ่ม” ยึดอาชีพเป็นหมอดูพยากรณ์ชีวิต บำบัดเคราะห์และเสริมดวงด้วยการเปลี่ยนชื่อ มากว่า 13 ปีแล้ว อาจารย์หนุ่มเล่าว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจะมีลูกค้ามาหาเยอะมาก แต่ช่วงเศรษฐกิจดี ๆ นั้นก็ไม่ขาดแคลนลูกค้าเช่นกัน ทุกวันนี้เปิดรับลูกค้าตั้งแต่ 9.00 น. กว่าจะเลิกก็ประมาณ 4 ทุ่ม ลูกค้ามาใช้บริการแน่นตลอด

อาจารย์หนุ่มใช้ชีวิตบวชเรียนตั้งแต่เด็ก มาสึกเมื่ออายุได้ 20 กว่าปีแล้ว ส่วนความรู้ด้านศาสตร์พยากรณ์นั้น เขาบอกว่าได้รับการถ่ายทอดจากพระอาจารย์ยอด ซึ่งเป็นพระไทยใหญ่และจำวัดอยู่ที่เชียงใหม่

“ พระอาจารย์ยอดเรียนจบรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา ผมนั่งคุยกับท่านแล้วถูกคอ ท่านจึงถ่ายทอดวิชา “อังควิชา” ให้”อาจารย์หนุ่มกล่าว

อังควิชา เป็นวิชาพยากรณ์ดูดวงและลักษณะนิมิตร เป็นศาสตร์จากอินเดีย บรมครูคือโกณฑัญญะพราหมณ์ ที่ทำนายลักษณะเจ้าชายสิทธัตถะว่าจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ศาสตร์การดูดวงและตั้งชื่อของอาจารย์หนุ่มจึงเป็นจุดขายที่ไม่เหมือนกับหมอดูรายอื่น ๆ

ขณะเดียวกันความรู้ในอดีตขณะบวชเรียนเป็นพระจนได้นักธรรม 7 ประโยคนั้นช่วยให้อาจารย์หนุ่มแตกฉานในภาษาบาลีและสันสกฤต และนำมาใช้ในการตั้งชื่อให้กับลูกค้าเพื่อแก้เคล็ด

อาจารย์หนุ่มเคยทำนายทายทักในรายการ Third Eye ทางเคเบิ้ลทีวี ว่าการเมืองในประเทศไทยจะยุ่งวุ่นวายเกิดการแตกแยกขึ้นตั้งแต่ปี 2548 ด้านการเงินจะมีปัญหา ส่วนหลังการเลือกตั้งในปลายปีนี้ ดวงของคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของเมืองไทยนั้น จะต้องเป็นคนเกิดวันพุธ เพราะดวงคนวันพุธมาแรง ซึ่งมีตัวอักษรนำหน้าชื่อ ส.และอ. หรือดวงรองลงมาต้องเป็นคนที่เกิดวันพฤหัสบดี ที่มีอักษรนำหน้าชื่อ ก ,ข,ค,ง,บ,ป,ผ,ฝ,พ,ภ,ม แต่นายกคนต่อไปก็จะอยู่ในตำแหน่งไม่เกินปีครึ่งก็จะมีอันต้องลงจากตำแหน่ง ส่วนจะฟันธงแล้วจะแม่นอย่างไรนั่นคงจะต้องจับตาดูการเมืองอย่ากระพริบตา

อย่างไรก็ตามอาจารย์หนุ่มได้กล่าวถึงความเชื่อในเรื่องดวงและการเปลี่ยนชื่อว่า “เรื่องการเปลี่ยนชื่อเพื่อแก้ดวงนั้น เราต้องยึดหลักธรรมะด้วย แม้ว่าชื่อจะดี แต่ถ้าเจ้าของชื่อไปทำไม่ดี ชื่อนั้นก็ไม่มีความสำคัญเลย ”


ปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์




บิ๊ก ดีทูบี



ประทานชื่อมงคล

ในการเสาะแสวงหาชื่อดีและเป็นมงคลมาใช้นั้น อีกช่องทางหนึ่งคือการไปขอชื่อประทานจากสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งตามปกติทางวัดบวรฯจะมีบริการนี้อยู่แล้วแต่จะทราบกันเป็นการภายในโดยไม่มีการประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด เป็นการบอกปากต่อปากมากกว่า ซึ่งเฉลี่ยจะประทานชื่อให้ประชาชน 200 – 300 ชื่อต่อเดือน นอกจากนี้พระสังฆราชฯจะประทานนามสกุลเพื่อให้กรมการปกครองนำไปแจกให้ประชาชนในงานกาชาดทุกปีอีกด้วย

โดยประชาชนทั่วไปที่ต้องการจะได้ชื่อประทานจากพระสังฆราชนั้น ต้องไปที่สำนักเลขา วัดบวรนิเวศฯ แล้วไปกรอกแบบฟอร์ม ซึ่งจะต้องใช้วันเกิดและเวลาตกฟากด้วย หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ จึงจะกลับไปรับชื่อที่ประทานได้

ทั้งนี้ภายในวัดบวรฯจะจัดพระประมาณ 3 – 4 รูปทำหน้าที่ตั้งชื่อบริการให้กับประชาชน แต่เดิมนั้นมีการผูกดวงก่อนจะตั้งชื่อ และจะตั้งให้คนละประมาณ 3 ชื่อเพื่อให้เจ้าของชื่อเลือกได้ ปัจจุบันนี้ไม่มีการผูกดวงแล้ว แต่ยึดหลักการว่าต้องเป็นชื่อที่ถูกต้องตรงกับหลักภาษาไทย เพราะถือว่าเป็นชื่อประทานจากพระสังฆราชและเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตด้วย


ต๋อง ศิษย์ฉ่อย




พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส



คนดังเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนดวง

กระแสการเปลี่ยนชื่อในปัจจุบันนี้จะแรงแค่ไหนคงวัดได้จากบรรดาคนดังทั้งหลายที่แห่กันเปลี่ยนชื่อเป็นว่าเล่นด้วยเหตุผลต่างกันออกไป

ลองโฟกัสในกลุ่มสาวไฮโซที่เดินแถวเปลี่ยนชื่อกันถี่มาก ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ปุ๊ หรือ รัตนประภา ดิศวัฒน์ ม่ายสาวสวยอดีตภรรยาฑูต ที่ชีวิตสมรสต้องพบกับการหย่าร้างเมื่อวัยสาว แม้จะมีชายที่ถูกใจแต่ก็พบปัญหาในชีวิตรักตามมาให้ระอาใจ เมื่อมีคนทักเรื่องชื่อขึ้นมา เธอจึงปรึกษาครอบครัวและตัดสินใจเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลใหม่เป็น......รัตนศิริประภา ดิษศวัชร์ ....โดยหวังว่าชื่อและนามสกุลใหม่จะช่วยให้เธอมีชีวิตใหม่ด้วย แต่ชีวิตใหม่ที่คาดหวังก็ไม่ได้ปูไปด้วยดอกกุหลาบ เพราะแม้จะไม่เสียเรื่องชีวิตรักแต่กลับมาเสียเรื่องเงินทองที่ลงทุนกับเพื่อนแล้วถูกโกงหลายล้านบาท ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจกลับมาใช้ชื่อและนามสกุลเดิม โดยบอกสรุปบทเรียนนี้อย่างได้คิดว่า

“ เราควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังดีกว่า ต้องมีสติมากขึ้น ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องชื่อ เพราะถ้าเปลี่ยนแล้วดีคงลุกขึ้นมาเปลี่ยนกันหมดแล้ว ”

อย่างไรก็ตามคนดังอีกไม่น้อยที่เดินหน้าเปลี่ยนชื่อ เพราะหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น หรือชื่อใหม่จะช่วยให้หลุดพ้นจากปัญหาเดิม ๆ ที่แก้ไขไม่ได้ อย่างในวงการตำรวจระดับหัวแถวที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนชื่ออย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เดิมชื่อ เสรี เตมียเวส และ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ เคยใช้ชื่อ ไพรัช มาก่อนส่วนเหตุผลของการเปลี่ยนนั้นปิดกันให้แซดว่าไม่เกี่ยวกับคดีความใด ๆ


พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ



ในวงไฮโซก็มีไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนชื่อ อย่างแม่ลูกคู่นี้เปลี่ยนเป็นแพคเกจ จิตรา เตชะไพบูลย์ สาวใหญ่ไฮโซลูกสาวเจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ เปลี่ยนชื่อมาเป็นจิตรามณฑน์ และชวนลูกสาวน้องกิ๊บหรือ สลิตา เตชะไพบูลย์ ให้เปลี่ยนชื่อมาเป็น สรัญทร ซึ่งดูเหมือนน้องกิ๊บจะถูกโฉลกกับชื่อใหม่อีกด้วย ส่วนสาวใหญ่อีกคนคือยาจิตร์ ยุวบูรณ์ นั้นก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเป็นทัชกร แต่ปรากฏว่าชื่อและนามสกุลใหม่ไม่มีใครคุ้นเพราะชื่อเดิมดังแล้ว ในที่สุดเจ้าตัวต้องยอมกลับมาใช้ชื่อเดิมต่อไป

อีกคนหนึ่งที่เปลี่ยนชื่อแล้วดีขึ้นทันตาเห็นคือ มดดำ ที่ใช้ชื่อในบัตรประชาชนว่า สุศิษฎา ซึ่งหมอดูทักว่าชื่อนี้เป็นมรณะจะเสียหายเรื่องคำพูด ตั้งแต่มดดำเปลี่ยนชื่อมาคชาภา นั้นได้ข่าวว่าเงินทองไหลมาเทมาจนเจ้าตัวแฮปปี้กับชื่อนี้มาก

ในวงการบันเทิงก็เหมือนกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าบรรดาสาว ๆ ที่อ่านข่าวทางทีวีแทบทุกค่ายหันมาเปลี่ยนชื่อกันเป็นแถว อย่างเช่น อรปรียา หุ่นศาสตร์ ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรช่อง 3 ทันทีที่เข้าวิวาห์เธอก็เปลี่ยนชื่อใหม่พร้อมกับนามสกุลของสามี จึงกลายเป็นคนใหม่ไปทันทีในชื่อ ปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์ ขณะที่ผู้ประกาศข่าวรุ่นน้องในค่ายเดียวกันชื่อ อินทิรา นาทองบ่อจรัส เปลี่ยนมาเป็นมิรินทิรา ส่วนน้องสาวของเธอซึ่งเป็นผู้ประกาศของทีวีช่อง5 ที่ชื่อ รุ่งทิวา นาทองบ่อจรัส เปลี่ยนเป็นจีรัตน์ทิวา นาทองบ่อจรัส เช่นกัน

ส่วนต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือในชื่อจริงว่า วัฒนา ภู่โอบอ้อม ที่เคยได้ฉายาว่าเจ้าหนูทอร์นาโด หลังจากที่เคยขึ้นสูงจุดสูงสุดในวงการสนุ๊กเกอร์จนอันดับร่วงลงอยู่ที่31 แล้ว ตอนนี้มาใช้ชื่อว่ารัชพล ภู่โอบอ้อม อย่างเป็นทางการแล้ว

บางคนตั้งชื่อ หรือเปลี่ยนชื่อไปตามคำแนะนำของหมอดู หรือโหราจารย์ หลีกเลี่ยงอักษรกาลกิณี เลือกตั้งชื่อให้เป็นสิริมงคลตามวันเดือนปีเกิด เพื่อแก้เคล็ด หรือให้รอดพ้นจากเคราะห์ร้าย อย่างเช่นกรณีของนักร้องดัง นายอภิเชษฐ์ กิตติกรเจริญ หรือบิ๊ก นักร้องวงดีทูบี ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็ขอพระราชทานชื่อใหม่จากสมเด็จพระสังฆราชฯ ว่า "ปาณรวัฐ" มีความหมายว่า ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ตามคำเรียกร้อง

ส่วนในกรณีของบิ๊ก - อภิเชษฐ์ กิตติกรเจริญ นักร้องวงดีทูบี ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนกลายเป็นเจ้าชายนิทรานั้นได้ก็ขอประทานชื่อใหม่จากสมเด็จพระสังฆราชฯ ว่า "ปาณรวัฐ" มีความหมายว่า ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ตามคำเรียกร้อง

ความสำคัญของชื่อนั้นมีผลต่อชีวิตหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของชื่อมากกว่า เพราะคนจะดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่การกระทำของคนผู้นั้นมากกว่า

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์"เรื่องโดย ปาณี ชีวาภาคย์



ไปข้างบน