ซุกหุ้นนั้น สำคัญไฉน?
โพสต์ทูเดย์ ได้ประสานไปยัง กรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เปิดปม และเกาะติดในเรื่องการซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านบริษัทวิมาร์ค และร้องเรียนไปยัง ก.ล.ต.ให้สอบสวนเรื่องดังกล่าว และเขียนบทความในเรื่องนี้
ผมได้ติดตามเพื่อเปิดโปงปัญหาเรื่องการ “ซุกหุ้น” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มากว่า 2 ปี การที่ คตส. สามารถรวบรวมหลักฐานกล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคู่สมรส ได้ว่ามีการ “ซุกหุ้น” ผ่าน บริษัท แอมเพิลริช วินมาร์ค ในต่างประเทศ บุตรทั้งสองคือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา รวมถึงพี่น้องฝ่ายละคน คือ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นความคืบหน้าที่สำคัญยิ่ง
ผมไม่สบายใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ตนไม่มีอำนาจในขณะนี้ ชี้แจงตอนนี้จะไม่ได้รับความเป็นธรรม จะรอหลังเลือกตั้ง จึงกลับมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหาเหล่านี้ที่ประชาชนและเราในฐานะผู้แทนประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ได้หยิบยกเป็นประเด็นซักถาม ท่านก็กลับไม่ได้ตอบเลย !
จากการที่มีกลุ่มผู้ติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ มักกล่าวหาว่า คตส. กล่าวหาเลื่อนลอย ไม่มีหลักฐาน เมื่อ คตส. ได้แถลงหลักฐานออกมาหลายประการ จะกล่าวหา คตส. อย่างเลื่อนลอยอีกต่อไป แต่น่าจะหาหลักฐานมาตอบโต้ หลักฐานของ คตส. ในแต่ละเรื่องให้ชัดเจน เช่น
1.แอมเพิลริช โอน มีหลักฐานที่ว่า หนังสือรับรองบริษัท แอมเพิลริช ที่ธนาคารยูบีเอสใช้อ้างอิงมี Dr.T Shinawatra เป็นผู้มีอำนาจถอนเงินและหลักทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ลงวันที่ 11 มิ.ย. 2542 หลังจากนั้นมีอีกเพียงฉบับเดียวในวันที่ 29 มิ.ย. 2548 ซึ่งระบุ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เป็นกรรมการ
แสดงว่าระหว่างนั้นได้อ้างอิงว่าผู้มีอำนาจถอนทรัพย์สินจากแอมเพิลริชคือ Dr.T Shinawatra เพียงผู้เดียว แสดงว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ มีฉบับอื่นมาแย้งหรือไม่? หากมีก็แปลก เพราะน่าจะได้ส่งมาตั้งแต่ต้นแล้ว
2.บริษัท วินมาร์ค มีเลขบัญชี 121751 ตรงกับข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือหุ้นจำนวนประมาณ 54 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. และดีเอสไอก็สืบพบหลักฐานและกล่าวโทษแล้วว่า วินมาร์คเป็นตัวแทนถือหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันทำให้มีความผิดในการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอสเสทไปแล้ว
3.นายพานทองแท้ รับหุ้นมูลค่าประมาณ 733.95 ล้านบาท แต่ทำไมจึงสร้างหนี้เพิ่ม 4.5 พันล้านบาท แสดงว่าเป็นการโอนหุ้นให้นายพานทองแท้จริงๆ หรือ กับความจริงที่ได้โอนต่อให้น้องเพียงราคาพาร์จำนวนถึง 440 ล้านหุ้น แล้วทำให้ตนเหลือเพียงประมาณ 293.95 ล้านหุ้น น้อยกว่าน้องด้วย โดยที่น้องไม่ต้องแบกภาระหนี้ซ่อนใดๆ แต่ตนต้องแบก “หนี้ซ่อน”
คนเดียวต่อไป 4.5 พันล้านบาท แสดงว่าลูกๆ ได้รับโอนหุ้นจริงหรือ ? ปกติครอบครัวนี้มีภาพที่รักความเป็นธรรมต่อกันอยู่แล้ว จึงน่าเชื่อว่าการจัดการที่ลำเอียงเช่นนี้ไม่จริง เป็นเพียงการ “ถือหุ้นแทน” พ่อแม่มากกว่า จะว่าไป น.ส.แพทองธาร ไม่ได้ส่วนแบ่งเหมือนพี่ๆ เลย ก็สะท้อนว่าไม่ได้เป็นการจัดสมบัติให้ลูกจริง เพราะเมื่อขายหุ้นแล้ว น.ส.แพทองธาร ก็ถือเงินได้ แม้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
4.นายบรรณพจน์ ประธานบริษัท ชินคอร์ปฯ ค้างหนี้คุณหญิง 102,135,225 บาท ค่าจองหุ้นเพิ่มทุน ทุกบาททุกสตางค์ กว่า 3-4 ปี ก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการกู้เงินจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้บริหารระดับสูงกลุ่มชินฯ ค้างหนี้พี่ชายเพียง 20 ล้านบาท 3-4 ปี ก็เหลือเชื่อ และยังมีการถอนเงินประมาณ 10 รายการ รายการละประมาณ 2 ล้านบาท ทุกงวดที่มีการจ่ายปันผล รวมกว่า 40 รายการ ก็แสดงพฤติกรรมที่ปกปิดซุกซ่อนชัดเจน
หลักฐานเหล่านี้ทำให้มองความจริงเบื้องหลังได้เพิ่มว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคู่สมรส ยังมีพฤติกรรม “ซุกซ่อน” อย่างต่อเนื่อง
หากเราไม่ทวงถามว่า หุ้นแอมเพิลริชหายไปไหน 100 ล้านหุ้น ก็ไม่ทราบว่าไปโผล่ในชื่อ วิคเกอร์สบัลลาส บ้าง ยูบีเอส บ้าง และเมื่อเจาะลึก ทำให้ต้องยอมให้ลูกรับความผิดว่ารับโอนแอมเพิลริชมาตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2543 แต่ไม่ได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นจากประชาชนตามกฎหมาย ซึ่งขัดกับการโอนหุ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2543 จำนวน 24.99% เพื่อไม่ให้ต้องทำคำเสนอซื้อฯ อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องหยุดจำนวนไว้เพียง 24.99% โอนทั้งหมดก็ได้ เพราะต้องทำคำเสนอซื้อฯ เหมือนกัน
องค์กรที่เกี่ยวข้องจึงควรให้น้ำหนักเชื่อถือต่อคำชี้แจงโดยระวัง เพราะการโกหกปกปิดสินทรัพย์เหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรก มีมาอย่างต่อเนื่อง
และทำให้น่าตั้งคำถามต่อว่า ทำไมต้องซ่อนทั้งในและต่างประเทศ ส่วนหนึ่งซ่อนแม้ปิดไม่มิด เช่น ผ่านบุตร คนใกล้ชิด ทุกคนก็เข้าใจได้ว่า เพราะต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหุ้นกิจการสัมปทานไม่ได้ ด้วยกฎหมายสูงสุดของประเทศคือรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ป.ป.ช. ไม่ต้องการให้มีกิจการส่วนตัว อันอาจใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์กิจการของตนได้
ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐเสียประโยชน์เป็นแสนล้านบาท โดยกลุ่มชินฯ ได้ประโยชน์มากมายจากการแก้เงื่อนไขสัญญาสัมปทาน ให้ลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งของบริษัทของตน
สำหรับกิจการโทรศัพท์มือถือ การโอนภาระภาษีสรรพสามิตให้ ทศท อย่างไม่เป็นธรรม การให้สิทธิพิเศษภาษีบีโอไอแก่กิจการดาวเทียมโดยมิชอบ การแก้เงื่อนไขสัมปทานไอทีวี การเอื้อประโยชน์การตั้งธุรกิจสายการบิน ฯลฯ
อีกส่วนเป็น กองทุนลับวินมาร์ค ซึ่งเป็นตัวอย่างของแหล่งซ่อนทรัพย์สินไว้ในต่างประเทศ อันเป็นส่วนที่นำไปซื้อสโมสรฟุตบอลอังกฤษกู้หน้าของตน จ้างสื่อต่างประเทศดูถูกประเทศไทยมากมาย เป็นทรัพย์สินที่รายงาน ป.ป.ช. ถูกต้องหรือไม่?
มีการร่ำรวยขึ้นผิดปกติในช่วงวิกฤตค่าเงินบาทปี 2540-2542 มากมาย เป็นไปตามที่นายเสนาะ เทียนทอง ได้เคยปราศรัยหรือไม่ว่า เพราะได้อาศัยข้อมูลภายในเรื่องค่าเงินในช่วงที่นายทนง พิทยะ อดีตผู้บริหารการเงิน (CFO) กลุ่มชินฯ เป็นรัฐมนตรีคลังช่วงลอยค่าเงิน และตนเข้าไปเป็นรองนายกฯ ในเวลาต่อมาหรือไม่?
ในเรื่องนี้เมื่อพ้นยุคระบอบทักษิณแล้ว หน่วยราชการไทยน่าจะรักษาความชอบธรรมของกฎหมาย และฟื้นฟูศักดิ์ศรีขององค์กรให้ทุกคนรู้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองโดยหลักนิติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
อย่างน้อยหลักฐานในส่วนที่มีความผิดฐานปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท เอสซีแอสเสท นอกจากรอ พ.ต.ท.ทักษิณ และคู่สมรส ซึ่งหลบหนีอยู่ต่างประเทศนั้น ก.ล.ต.จะมีการดำเนินการตรงไปตรงมากับผู้บริหารในประเทศ ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งแจ้ง ก.ล.ต. ปีที่แล้วเพื่อตอบข้อสงสัยเรื่องวินมาร์ค
โดยยังปกปิดว่า “Win Mark ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัวชินวัตร” นางบุษบา ดามาพงศ์ เป็นผู้ลงนามรับรองความถูกต้องของข้อมูลหนังสือชี้ชวน ทั้งที่ตนเป็นผู้ลงนามทะเบียนหุ้นเพื่อเปลี่ยนชื่อจากวินมาร์ค 2 ทอดผ่านกองทุนมาเลเซีย 3 บริษัทต่อๆ มาในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิงกับสำนักงาน ก.ล.ต.
เมื่อ ก.ล.ต. ทราบแล้วว่า “121751” เป็นบัญชีของบริษัท วินมาร์ค ซึ่งถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างน้อยแสดงว่าได้ทำรายงาน “246-2” ผิดพลาด อย่างน้อยต้องเหลือหุ้น 54 ล้านหุ้นเป็นของตน หวังว่า ก.ล.ต. จะไม่ยอมรับง่ายๆ ว่า ถึงเวลาก็อนุญาตให้พ่อป้ายความผิดไปให้ลูกได้ง่ายๆ
เพราะลูกก็ได้แก้ข้อมูลย้อนหลังยอมรับความผิดมาแล้วหลายครั้งจนเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นเจ้าของ และจงใจปกปิดหุ้นส่วนอื่นที่ถือโดยวินมาร์คอีกด้วย
ก.ล.ต.ควรดำเนินการเรื่องนี้ “โดยไม่ใช้เกียร์ว่าง” หากไม่แน่ใจว่าควรสอบอย่างไร ผมยินดีแนะวิธีถามเพื่อให้ได้คำตอบตรงไปตรงมาที่เป็นธรรม
จากข้อมูลตามข่าวว่าในเดือน ม.ค. ก่อนซื้อหุ้นกันจริงที่ 49.25 บาท มีบัญชีที่จัดการโดย ธนาคารยูบีเอส (ซึ่งจัดการ แอมเพิลริช และวินมาร์ค) ซื้อหนาแน่นเฉลี่ยถึง 25% บางวัน 40-50% ของทั้งตลาด สะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้ข้อมูลภายในที่ ก.ล.ต. อธิบายว่าได้สอบถามแล้ว ได้ถามชัดไหมว่าใครซื้อ? บัญชีดังกล่าวเปิดเมื่อใด? ในอดีตก่อนช่วงจะมีเรื่องซื้อขายหุ้น บัญชีนั้นเคยซื้อหุ้นชินฯ มากน้อยเพียงใด? เคยซื้อหุ้นไทยมากน้อยเพียงใด? หุ้นใดบ้าง? เงินจ่ายจากบัญชีไหน? มีการทำรายการประเภท EquitySwap หรือ Structured Equity อันอาจเป็นการสร้างช่องทางหลบหลีกกฎหมาย แต่เอาเปรียบนักลงทุนโดยใช้ข้อมูลภายในหรือไม่?
บรรดาองครักษ์พิทักษ์อำนาจเก่า ก็ควรหาหลักฐานมาชี้แจง อย่าพูดราวสวดมนต์ว่า “มั่ว” “ขาดหลักฐาน” หรือ “รอมีอำนาจจะชี้แจง” เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยชี้แจง
บรรดา ส.ส.หลายๆ ท่านที่อาจเคยถูกหลอกให้สนับสนุนอำนาจเก่า น่าจะหันมาตระหนักในความไว้วางใจที่ประชาชนในพื้นที่ได้มอบให้ ต้องขุดหาความจริง ด้วย “ใจจริง” มิใช่จะยอมหลับหูหลับตา หาเรื่องกลบความจริงเหล่านี้ไป
เขาอาจหลอกให้ประโยชน์พี่น้องประชาชนคนละหลายร้อยบาท แต่ดูดประโยชน์จากประเทศชาติของเราและลูกหลานเป็นแสนล้านบาท
เขาอาจให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงเงินกู้กองทุนฯ พักหนี้จนมีกำลังซื้อมือถือ ใช้หมดแล้ว ชาวบ้านก็ยังต้องเป็นหนี้สินมากมาย แต่ผู้ให้ระบบก็ดูดเงินไป และมีระบบเครือข่ายไว้ดูดเงินต่อ
ผู้แทนฯ หลายคนที่เริ่มเห็นธาตุแท้ที่มาหลอกใช้ ส.ส. ก็น่าจะกลับมาอยู่ข้างประชาชนกันเสียที แต่การปฏิเสธไม่รับรู้เรื่องซุกหุ้นและทุจริตเชิงนโยบายก็คือ การเลือกที่จะอยู่ข้างคนขี้โกง แทนที่จะอยู่เคียงข้างประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้คิดอย่างไรได้
นอกจากคนเหล่านั้นย่อมต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันกับคนขี้โกงนั่นเอง
ประชาชนพึงติดตามให้ดีในเรื่องนี้ เพราะทำให้เข้าใจวิธีคิดตามที่ปรากฏเป็นข่าวที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เคยพูดตรงๆ ว่า “ในเมื่อการเมืองต้องมีการลงทุน อ้อก็ต้องมองอย่างธุรกิจ” สำหรับประชาชน “เขาให้เราเพียงร้อยหรือพัน” แต่ “ดูด” ประโยชน์ส่วนตัว “เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน” เงินของเราและลูกหลานทั้งนั้น สโมสรฟุตบอลแมนฯ ซิตี ทุกวันนี้ก็อาจเป็นเงินซุกซ่อนที่มาจากเงินคนไทยทั้งนั้นก็ได้
หวังว่าความจริงจังในการต่อสู้กันด้วยหลักฐานและความจริง จะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ของหลักนิติธรรมในบ้านเมือง นำไปสู่ความสงบ สันติสุข ความชอบธรรม และความเจริญต่อประเทศชาติยิ่งขึ้นตลอดไปครับ
ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "โพสต์ทูเดย์"
|