หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

พระธรรมสุธี เจ้าคณะ กทม. พระนักเรียนนอก มือปราบอลัชชี

พระธรรมสุธี (พีร์ สุชาโต) เจ้าคณะกทม.

การเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครมีภาระหน้าที่หลากหลายและมากล้น เพราะจำนวนวัดและพระสงฆ์ที่ต้องปกครองมีมากกว่าทุกจังหวัดในประเทศไทย จึงต้องทำงานหนักมาก โดยเฉพาะการปราบปรามพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นอลัชชี และประพฤตินอกรีตนอกรอย รวมทั้งผู้ประพฤติตนไม่เหมาะสมในขณะบิณฑบาตอีกด้วย ในการนี้ กทม. จึงตั้งตำรวจพระ หรือมีชื่อเป็นทางการว่าพระวินยาธิการขึ้นมาทุกเขตรวม 200 รูป และที่ประจำส่วนกลางอีก 28 รูป ผู้ที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตำรวจพระคือ พระธรรมสุธี เจ้าคณะ กทม. และมือสองคือพระรัตนเมธี เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าจุฬามณี

เจ้าคุณพระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะ กทม. หรือผู้ว่าพระในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ได้เล่าว่า หน้าที่หลักพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ คือ ออกตรวจ สอดส่องดูแลพระที่บิณฑบาตไม่เรียบร้อย หรือพระปลอมอะไรเหล่านี้ เมื่อจับได้จะส่งเข้าคุกหลังจากสอบสวนแล้ว ข้อหาที่มีมากคือ ปลอมแปลงเอกสาร หลอกลวงชาวบ้าน

ท่านเจ้าคุณในวัย 77 ปี แต่กระฉับกระเฉงบอกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในกรุงเทพมหานครจะสงบเงียบในช่วงเข้าพรรษา แต่พอออกพรรษาแล้วเยอะมาก ถึงกระนั้นก็มีการปราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขต ชั้นนอก ชานเมือง จะสังเกตว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้วพระที่เอาลูกนิมิตหรือช่อฟ้าบรรทุกรถมาให้ชาวบ้านปิดทอง ตามตลาดหรือตรอกซอกซอย ใครทำจะถูกจับเพราะเขาห้ามเรี่ยไร

ผู้จะเรี่ยไรได้ต้องขออนุญาตและทำได้ในจังหวัดของตัวเท่านั้น แม้ว่าจะทุ่มเททำงานอย่างไร ปัญหาก็ไม่ได้หายไป 100% ยังมีอยู่อีกประปราย เช่น พวกปลูกเพิงหมาแหงนตามที่รกที่ป่า (ชานเมือง) พวกนี้จะมาบิณฑบาตในเมืองแล้วเอาไปแจกกันกิน เมื่อมีชาวบ้านร้องเรียนมา เราก็อยากออกไปจัดการจับเข้าคุก

ท่านบอกว่าหลังจากออกพรรษาเราก็ตั้งรับ และขอให้บอกกันต่อๆ ท่านที่พบปัญหาพระที่ประพฤตินอกธรรมนอกวินัย หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมเวลาบิณฑบาตแจ้งได้ที่ 08-1820-8478 เจ้าคุณพระรัตนเมธี จะจัดให้



อธิบดีสงฆ์มีที่นี่แห่งเดียว

ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์นั้นมีชื่อเรียกเป็นเกียรติยศกันว่าอธิบดีสงฆ์ ซึ่งแตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่เรียกว่าเจ้าอาวาส จึงกราบเรียนถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรสำหรับตำแหน่งอธิบดีสงฆ์นี้ หลวงพ่อบอกว่าตำแหน่งนี้เขาให้ใช้แต่วัดนี้วัดเดียวเท่านั้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาแล้ว

องค์แรกที่เป็นอธิบดีสงฆ์ คือ สมเด็จพระวันรัต (ดิส) เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จะทรงยกฐานะการศึกษาของพระให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัย ก็เลยตั้งมหาธาตุวิทยาลัยขึ้นที่วัดนี้ และวัดมหาธาตุเป็นวัดใหญ่ มีพระเณรบวชเล่าเรียนศึกษาภาษาบาลีโด่งดังมาก (สมัยนั้น) จึงยกฐานะให้เป็นวิทยาลัย ถือว่าเป็นวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย

เมื่อตั้งมหาธาตุวิทยาลัยแล้ว เจ้าอาวาสจะให้ชื่ออะไร จะได้เทียบเท่ากับทางโลกเขา ทางโลกเป็นอธิการบดี เมื่อมาเป็นวัดมหาธาตุวิทยาลัย จึงเปลี่ยนจากอธิการบดีเป็นอธิบดี และให้ใช้เฉพาะวัดมหาธาตุเท่านั้น

ตัวหลวงพ่อพระธรรมสุธี เป็นอธิบดีสงฆ์องค์ที่ 19 เป็นมา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ 2547 เป็นต้นมา



ข้อหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์

หลวงพ่อพระธรรมสุธีอยู่วัดมหาธาตุ 2 รอบ รอบแรก 12 ปี ในช่วง 12 ปีนั้น ถูกข้อหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ สมัยพระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) ด้วย

หลวงพ่อกล่าวว่า ที่ถูกข้อหาฝักใฝ่เริ่มจากอาจารย์พระมหานคร เขมปาลี (ปัจจุบันเป็นที่พระราชรัตนโมลี) พี่มนัส พวงลำเจียก อยู่คณะ 2 ด้วยกัน เมื่อพี่มนัส และอาจารย์นครถูกจับ ไปเยี่ยม (ที่สันติบาล) แต่เรื่องข้อหาคอมมิวนิสต์นั้นจำเลยต้องซักพยานเอง (เมื่อขึ้นศาล) เราติดต่อทนายความข้างนอก ทนายความไม่กล้าเข้าไป ดังนั้นเมื่อไปเยี่ยมจึงเอาเอกสารลับแอบใส่ให้ไปบ้าง โดยเสียบุหรี่ให้ยามซองหนึ่ง เขาก็จัดการส่งให้ ทุกครั้งที่ไปเยี่ยม (ไปบ่อยด้วย) เขาก็จดชื่อ ตอนนั้นยังเป็นพระมหาพีร์

หลวงพ่อนั้นมีฐานะเป็นครูสอนบาลี ที่โรงเรียนวัดมหาธาตุด้วย ต่อมาสังเกต เห็นตำรวจยศร้อยเอก 2 นายมานั่งเล่น หมากฮอส หมากรุกอยู่หน้าประตูโรงเรียน ที่สอนหนังสือทุกวัน จึงสงสัยว่ามันไม่ ทำมาหากินอะไรกันหรือนั่น และเราก็รู้ว่าทั้งสองเป็นตำรวจ พระอาจารย์ดิลกที่เป็นครูสอนบาลีด้วยกัน แต่คนละชั้น จึงไปเชิญตำรวจทั้งสองนั้นมาดื่มน้ำชาที่กุฏิ ถาม ว่ามาทำไมที่นี่เขาก็เล่าว่าเจ้านายให้มาคุยพระมหาพีร์ เพราะไปติดต่อฝักใฝ่กับพวกคอมมิวนิสต์ อาจารย์ดิลกก็บอกว่าองค์นี้ไม่มีอะไรหรอกที่ไปเยี่ยมเพราะมหามนัส มหานครอยู่คณะเดียวกัน จึงเอาอาหารไปส่งบ้างอะไรบ้าง ท่านไม่มีนิสัยชอบพวกคอมมิวนิสต์อะไร ที่ไปเพราะกิจจำเป็น ตำรวจเขาก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งเขาจะออกหมายจับ



หลบไปอินเดีย

หลวงพ่อกล่าวว่า พอดีพี่ชายอาตมาคนหนึ่งเป็นตำรวจสันติบาล แต่อยู่อีกกองหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับทางนี้ (กอง 2) ตำรวจที่ออกหมายจับเห็นนามสกุล อาตมากับนามสกุล พี่ชาย นามสกุลเดียวกัน คือ ผ่องสุภาพ จึงไปถามพี่ชายที่เป็นตำรวจว่าเป็นอะไรกับพระองค์นี้ พี่ชายบอกว่า พ่อของพระเป็นน้องพ่อผม ผมจึงเท่ากับเป็นพี่ชาย นายตำรวจนั้นแนะว่าลื้อไปบอกท่านว่าไปไหนก็ไป เขาจะออกหมายจับ พี่ชายจึงมาบอกว่าท่านอย่า อยู่เลย หนีไปเถิด ก็เลยตัดสินใจไปอินเดีย ไปอยู่กับหลวงพ่อสุเมธาธิบดี ในปี 2007

หากไม่ไปโดนจับแน่นอนเพราะที่วัด มหาธาตุโดนจับไป 8 องค์ ตั้งแต่ 2504 ติดต่อเรื่อยมาคือ 1.พระพิมลธรรม (อาจ) 2.อาจารย์มหานคร 3.พี่มนัส พวงลำเจียก 4.สมจิต ปิ่นทอง 5.ประพันธ์ 6.จวง 7.พระครูเมธีฯ 8.ประพันธ์ และถ้าอาตมาไม่ไปอินเดียจะเป็นองค์ที่ 9

การไปอยู่อินเดียรอบแรก ก็ไปคือตั้งแต่ พ.ศ. 2507-2509 แล้วก็ไปอยู่ศรีลังกา 5 ปี ถึง 2514 กลับมาอินเดีย อยู่ที่วัดไทยช่วยหลวงพ่ออยู่อีก 6 ปี รวมเบ็ดเสร็จอยู่อินเดีย 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 ปี จากนั้นไปอยู่อังกฤษอีก 11 ปี โดยไปอยู่ที่วัดพุทธประทีป ตั้งแต่ปี 2520 กลับ 2531

เมื่อกลับมาก็ทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะ กทม. ยังไม่ได้เป็นพระราชาคณะชั้นใด ยังเป็นพระมหาพีร์อยู่เหมือนเดิม

การที่ไปอยู่ที่ศรีลังกาและอินเดีย ได้ศึกษาจบปริญญาตรี ที่ศรีลังกา จบปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยมคธที่อินเดีย (เรียนด้านศาสนาทั้ง 2 แห่ง)



ตั้งใจทำปริญญาเอกที่อังกฤษ

ความตั้งใจเดิมที่ไปอังกฤษต้องการไปทำปริญญาเอกที่นั่น เพราะนึกว่ามันถูกเหมือนอย่างกับที่อยู่อินเดีย ที่ไหนได้ 1 ปอนด์เท่ากับ 45 บาท (ในช่วงนั้น) จึงมาคิดดูอีกทีว่ากี่ปีมันจึงจะจบ ขายนาหมด พี่น้องก็เป็นหนี้เป็นสิน แล้วมันจะจบหรือเปล่ายังไม่รู้ และถาม (ตัวเอง) ต่อไปว่าจบไปแล้วจะไปทำอะไร หรือเอาเงินไปไถ่ไร่ไถ่นาให้พี่น้องทำมาหากินดีกว่า คิดทบทวนไปมาก็ตกลงว่าอย่าเรียนเลย ก็เลยอยู่ในฐานะพระธรรมทูตเท่านั้นเป็นเวลา 11 ปี

เมื่ออยู่อังกฤษก็ประทับใจเพราะดีกว่าอินเดียทุกด้าน มีญาติโยมชาวพุทธไปเยี่ยมเยียนถวายอาหารเสมอ เพราะชาวพุทธมีทั้งคนไทย ศรีลังกา พม่า และพวกลี้ภัยคอมมิวนิสต์ เช่น ลาว เขมร เป็นต้น พวกเขาไม่มีวัด แต่เรามีก็มารวมกัน แต่ผู้ที่เป็นนักศึกษาไทยในอังกฤษไม่ค่อยมาวัดไทย เว้นวันสงกรานต์ หรือลอยกระทง มาเที่ยวบ้าง นอกนั้นไม่มาไม่ว่าจะเป็นวันอาทิตย์หรือวันพระ



มือปราบ

ปี 2531 กลับเมืองไทยมาเป็นเลขานุการเจ้าคณะ กทม.ก่อน แล้วเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ หลังจากปราบตลาดนัดที่ลานอโศกไปแล้ว จากนั้นก็ทำงานวัดเรื่อยๆ มา เมื่อหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ) มรณภาพ หลวงพ่อสุเมธาธิบดีเป็นเจ้าอาวาสจึงสนองงานมาเรื่อย

เคยเป็นเจ้าคณะเขตพระนคร รักษาการเจ้าคณะเขตดุสิต เป็นเจ้าคณะเขตบางเขน รักษาการเจ้าคณะเขตบางกอกน้อย เป็นเจ้าคณะเขตบางกอกน้อย แล้วเป็นเจ้าคณะ กทม. และเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ

เรียกว่า ที่ไหนมีปัญหาเยอะๆ เขาจะสั่งย้ายท่านเจ้าคุณให้ไปปราบ โดยเฉพาะปัญหาที่พบคือ พระประพฤติไม่เรียบร้อย เมื่อพบปัญหาจะสั่งดำเนินการทันที



การศึกษาวัดมหาธาตุ

เมื่อถามว่าด้านการศึกษาที่วัดมหาธาตุ ยังถือว่าเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย หรือไม่ ท่านตอบว่าไม่แล้ว ไปมหาจุฬาหมดแล้ว สำนักบาลีไปหมดทั่วประเทศ จำนวนผู้ศึกษาบาลีตกมาก เอาง่ายๆ จบชั้นสูงสุดคือ ป.ธ.9 ทำอะไรได้บ้าง จะไปเป็นอนุศาสนาจารย์ เขาก็รับปีละ 2-3 คน พวกจบ ป.ธ.9 อย่างเดียวก็สอบไม่ได้ก็มี พวกมหาจุฬาฯ เอาไปกินหมด เพราะเขาสอบประวัติศาสตร์ สังคม ไม่ได้แปลไทยเป็นมคธ หรือแปล มคธเป็นไทย นักเรียนบาลีอย่างเดียว จึงสู้เขาไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ความเป็นมหาธาตุวิทยาลัยยังมีอยู่ แต่มีผู้เรียนอภิธรรมมากที่สุด ส่วนภาษาบาลีก็ยังมีสอนอยู่

หลวงพ่อบอกว่าต้องหาคนมาบวชเรียนจากเมืองเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ส่วนมากเป็นคนดอย ชาวเขา เอามาสอนภาษาไทยกันใหม่ ตอนนี้เอามาบวช 50 องค์ เลี้ยงอย่างกับลูก ต้องอุปการะทุกเรื่อง

หลวงพ่อบ่นว่า เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนนักเรียนมาหาครู เดี๋ยวนี้ครูต้องไปหานักเรียนมา พูดกันง่ายๆ เหมือนไปจ้างเขามาเรียน เราให้หมดทุกอย่าง สอบได้ก็ให้รางวัล ต้องฉลองให้ หากได้ประโยค 8-9 ได้คะแนนดีๆ วัดพระธรรมกายก็มาเลือกๆ ให้ไปอยู่ด้วย ให้ได้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ ก็ไปกันส่วนมาก



แนะวิธีปฏิบัติ

หลวงพ่อนำวิธีปฏิบัติจากศรีลังกา และมติ มส.มาใช้ในเรื่องให้โอวาท หรือกล่าวปรารภธรรมก่อนอนุโมทนา ยถา สัพพี แม้ว่า มส.มีประกาศให้พระทำทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีใครทำ วัดมหาธาตุจึงริเริ่ม เช่นเมื่อทำบุญอัฐิเจ้าคณะ 7 ที่วัดมหาธาตุ เมื่อเร็วๆ นี้ได้แสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรม ย่อๆ ว่า เรื่อง กตัญญูกตเวทิตาแก่ผู้มีบุญคุณ ผู้ที่หล่อเลี้ยงพวกเรามา ที่เราอาศัยร่มไม้ชายคา เล่าเรียนหนังสือมีอาหารการกินนี้ก็เพราะท่าน อนุเคราะห์ให้ พวกเราก็อยู่กันมาจนเรียนจบ ทำให้ชีวิตแต่ละคนมีงานมีการทำ เป็นหลักเป็นฐาน ดังนั้น เราควรรำลึกถึงพระคุณท่าน แสดงถึงความกตัญญูกตเวที

คนเราถ้าขาดธรรมข้อนี้แล้ว (กตัญญู กตเวที) ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์พวกนี้แม่คลอดลูก 4-5 ตัว แม่ตัวเดียวพ่อไม่ต้องพูดถึง แม่มันแก่เฒ่า มีลูกที่ไหนบ้างมาเลี้ยง หรือหาอาหารมาให้แม่ มีไหม ไม่มี

ฉะนั้น เราเป็นคนถ้าไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กตัญญูกตเวทิตาเป็นเครื่องคุ้มกันโลก คนแก่ต้องอาศัยกตัญญูกตเวที มิเช่นนั้นคนแก่ตายเพราะช่วยตัวเองไม่ได้ พระพุทธเจ้า จึงเน้นธรรมข้อนี้

สุดท้ายท่านฝากเตือนพระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ห่างของสองอย่างคือ ผู้หญิง และการประพฤตินอกธรรมนอกวินัย เพราะเดี๋ยวนี้มีเรื่องล่อแหลมให้ทำผิดเยอะมาก

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "โพสต์ ทูเดย์"



ไปข้างบน