หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช

แสงทองจะยังส่องทาง ‘หลวงพ่อปัญญา’ สิ้นท่าน..ไม่สิ้น ‘ธรรม’

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
ชาตะ-11 พ.ค. 2454
มรณะ-10 ต.ค. 2550

วงการสงฆ์-พุทธศาสนิกชนชาวไทยต้อง “สูญเสีย” อีกหนึ่ง “ปูชนียบุคคล-ปราชญ์สงฆ์” ผู้สร้างคุณูปการแก่แวดวงพุทธศาสนาในประเทศไทย-สังคมไทยมาอย่างยาวนาน ไปอีกหนึ่งท่าน...

สายวันที่ 10 ต.ค. 2550 สงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซึ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ครั้งล่าสุดเมื่อ 5 ธ.ค. 2547 เป็น “พระพรหมมังคลาจารย์ ไพศาลธรรมโกศล วิมลศีลาจารวินิฐ พิพิธธรรมนิเทศ พิเศษวรกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี” หรือที่คนไทยรู้จักและเรียกขานท่านว่า “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” หรือ “หลวงพ่อปัญญา” ได้ละสังขารลง สิริรวมอายุได้ 96 ปีเศษ ย่าง 97

นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการพุทธไทยอีกครั้ง

แต่คุณูปการของท่านจะไม่สูญเปล่า...ด้วยธรรมโอวาท

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ทั้งนี้ หลวงพ่อปัญญาซึ่งเกิดที่ จ.พัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พ.ค. 2454 และเดิมมีนามว่า “ปั่น เสน่ห์เจริญ” นั้น ตั้งแต่วัย 18 ปีท่านก็เริ่มก้าวตามรอยธรรมโดยบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จ.ระนอง และเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ปี 2474 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง

ที่ผ่านมา ทั้งก่อนหน้า และหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น... พระราชาคณะชั้นสามัญ “พระปัญญานันทมุนี” เมื่อ 5 ธ.ค. 2499, พระราชาคณะชั้นราช “พระราชนันทมุนี” 5 ธ.ค. 2514, พระราชาคณะชั้นเทพ “พระเทพวิสุทธิเมธี” 5 ธ.ค. 2530, พระราชาคณะชั้นธรรม “พระธรรม โกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก สาธกธรรมภาณ วิสาลธรรมวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี” 5 ธ.ค. 2537, พระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏหรือรองสมเด็จพระราชาคณะ “พระพรหมมังคลาจารย์ ไพศาลธรรมโกศล วิมลศีลาจารวินิฐ พิพิธธรรมนิเทศ พิเศษวรกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี” 5 ธ.ค. 2547 หลวงพ่อปัญญาท่าน มิเคยว่างเว้นการสร้างประโยชน์แก่บวรพระพุทธศาสนาในไทย สังคมไทย พุทธศาสนิกชนไทย

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

นอกจากวัตรปฏิบัติของท่านเอง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีในหมู่สงฆ์แล้ว “โอวาทธรรม” ที่ท่านได้แสดงแก่พุทธศาสนิกชนไทยมาตลอด ก็นับว่า “มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ยิ่ง” ทั้งต่อตัวบุคคลทั่วไปที่ยึดถือปฏิบัติตาม และต่อความสุขสันติของสังคมไทย

โอวาทธรรมของท่านที่มีการถ่ายทอดเป็นหนังสือเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ก็มีอยู่มากมาย เช่น... ทางสายกลาง, คำถามคำตอบพุทธศาสนา, คำสอนในพุทธศาสนา, หน้าที่ของคนฉบับสมบูรณ์, รักลูกให้ถูกทาง, ทางดับทุกข์, อยู่กันด้วยความรัก, อุดมการณ์ของท่านปัญญา, ปัญญาสาส์น, ชีวิตและผลงาน, มรณานุสติ, ทางธรรมสมบูรณ์แบบ, 72 ปี ปัญญานันทะ เป็นต้น ขณะการแสดงธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ก็มีอยู่เป็นประจำ

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุและท่านพุทธทาส

ท่านมักแสดงธรรมในรูปแบบที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย ๆ

ธรรมด้าน “ปัญญา” ตามนามที่เรียกขานท่านก็มีบ่อย ๆ

ยกตัวอย่างเช่นการแสดงธรรม ณ โรงเรียนพุทธธรรม ที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ปากเกร็ด นนทบุรี อันเป็นวัดพำนักของท่าน เมื่อ 8 ม.ค. 2527 เมื่อครั้งท่านยังมีสมณศักดิ์เป็นพระราชนันทมุนี ความส่วนหนึ่งว่า.....

“.....ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไป เรียกว่าเป็นผู้มีความสนใจในการศึกษาเรื่องชีวิต เพื่อให้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง ท่านก็ค่อยรู้เรื่องอะไร ๆ ขึ้นโดยลำดับ

เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นขึ้นทีละน้อย ๆ ความมืดก็ค่อยหายไป

เหมือนกับว่าในห้องมืดของเรา ถ้าเราจุดไม้ขีดไฟขึ้นก้านหนึ่ง มันก็สว่างเท่าที่แสงนั้นอำนวยให้ได้ ถ้าเราจุดเทียนขึ้นมันก็สว่างเพิ่มขึ้น เทียนดวงเดียวก็สว่างในเนื้อที่จำกัดรัศมีของไฟที่จะให้แสงสว่างได้ แต่ถ้าเราจุดขึ้นเป็น 2 ดวง 3 ดวง 4 ดวง 10 ดวง 100 ดวง ห้องนั้นก็จะสว่างจ้า เราก็จะสามารถมองเห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เพราะว่าแสงสว่างมันมีมากขึ้น ฉันใดในจิตใจเรานี่ก็เหมือนกัน

ตัวปัญญา เป็นแสงสว่างสำหรับชีวิต เมื่อมันเกิดขึ้นน้อย ๆ ก็มีแสงสว่างน้อย ๆ ถ้าเกิดมากขึ้น ๆ แสงสว่างทางจิตใจก็มีมากขึ้น สามารถจะบรรเทาความหลงผิด ความเข้าใจผิด ความงมงายอะไรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใจของเรานั้นให้หายไป เหมือนกับแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป

เมื่อแสงสว่างทางด้านปัญญาเกิดขึ้น ความเข้าใจผิด ความโง่ ความงมงาย ทิฐิร้าย ๆ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใจเรา ก็ค่อยหายไปจากจิตใจของเรา เราก็มีชีวิตอยู่ด้วยแสงสว่าง

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ความเข้าไปยึดถือในเรื่องอะไรต่าง ๆ ค่อยลดน้อยลงไป อันนี้เป็นความก้าวหน้าทางจิตใจของบุคคลผู้สนใจในการศึกษา ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต และมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นชั้น ๆ เป็นขั้นขึ้นไปตามลำดับ.....”

ทั้งนี้และทั้งนั้น “ตายแล้วไปไหน ??”...เป็นคำถามที่สมัยก่อน “หลวงพ่อปัญญา” มักถูกญาติโยมถามอยู่บ่อย ๆ ซึ่งท่านก็มักตอบให้ขำ ๆ ก่อนว่า... “ตายแล้วไปป่าช้า !!” ก่อนจะตอบเข้าสู่แก่นสัจธรรมหลังเสียงหัวเราะของญาติโยมว่า... “ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องไปสนใจมัน แต่ให้สนใจปัจจุบันว่าทำตัวดีแค่ไหน ทำความดีเสียในขณะนี้ ตายแล้วก็จะไปดีเอง !!”

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ณ วันนี้ “หลวงพ่อปัญญา” ท่านย่อมไปดีโดยมิต้องสงสัย

แต่ “แสงทอง” ที่ท่านได้ “ส่องทาง” ไว้ให้ญาติโยมยังอยู่

ไม่ยึดติดตัวตนแต่ยึดมั่นธรรมที่ท่านสอน...ท่านคงยินดี !!.

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "เดลินิวส์ออนไลน์"



ไปข้างบน