รำลึกหลวงพ่อปัญญา ที่ "วัดชลประทานรังสฤษฎ์"
พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ"หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ"
หากพูดถึงวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจังหวัดนนทบุรี “วัดชลประทานรังสฤษฎ์” คงเป็นวัดที่ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ในฐานะวัดที่ปราศจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง การบอกใบ้หวย การเข้าทรงองค์เจ้า แต่วัดแห่งนี้มุ่งเน้นในเรื่องของหลักธรรมคำสอนและการปฏิบัติตามแก่นธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้หลุดพ้นจากกิเลสที่พอกพูน โดยมี “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ”
เจ้าอาวาส “วัดชลประทานรังสฤษฏ์” ทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ขับเคลื่อนหลักธรรมคำสอนเผยแพร่สู่สาธารณชนมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
ทุกวันอาทิตย์พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังเทศฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ผู้ลาลับ ท่านถือเป็นหนึ่งในผู้มอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีความมุ่งหมายในเกณฑ์ 2 ประการคือ ประการแรกเพื่อประกาศความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้
และประการที่สองเพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป
ด้วย 2 หลักเกณฑ์ที่หลวงพ่อปัญญาพึงยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอด รวมถึงการประยุกต์ธรรมต่างๆให้ง่ายต่อการเข้าใจและเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่ได้ฟังธรรมของท่านได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนกลายเป็นมหาศรัทธาของมหาชน
ผู้มาทำบุญใส่บาตรมีกันทุกเพศทุกวัย ทั้งมากันเป็นครอบครัวหรือจะมาคู่มาเดี่ยวก็ได้
หนึ่งในนั้นก็คือ ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทานในช่วง พ.ศ.2492-2509 หรือบิดาแห่งชลกร หลังได้ฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อปัญญา เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้เกิดความเลื่อมใสวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน
จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก
และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและวิธีการถ่ายทอดธรรมมะของหลวงพ่อปัญญา ม.ล.ชูชาติ และกรมชลประทานจึงได้มอบที่ดิน และสร้างวัดชลประทานรังสฤษฏ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ที่ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมได้อาราธนาหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุมาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่พ.ศ.2503 เป็นต้นมา
อุโบสถเล็กๆ ใช่สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์
หากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยือนยังวัดชลประทานแห่งนี้จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันร่มรื่นร่มเย็นทั่วทั้งบริเวณวัด ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย หรือจะเรียกว่าวัดป่าก็คงจะได้ ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ถึง 48 ไร่ แต่ภายในกลับมีสิ่งปลูกสร้างเพียงน้อยนิดเพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น โดยสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆที่หลวงพ่อปัญญาได้สร้างไว้มีเพียง 3 สิ่งเท่านั้นคือ
โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ โรงเรียนพุทธธรรม และกุฏิสี่เหลี่ยมเท่านั้น นอกนั้นเป็นบุคคลภายนอกสร้างให้ตามสมควรทั้งสิ้น
ต้นไม้ให้ข้อคิดมีอยู่ให้เห็นมากมายภายในวัด
หากใครได้สังเกตก็จะเห็นอีกว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปเพียงไม่กี่องค์ เนื่องจากหลวงพ่อไม่เน้นในเรื่องของวัตถุ หากแต่เน้นให้คนเข้าถึงคำสั่งสอนและปฏิบัติตามขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่า ดังป้ายธรรมมะเตือนใจป้ายหนึ่งในหลายๆป้ายที่ติดไว้ตามต้นไม้ทั่วบริเวณวัดว่า
"คนไหว้พระเท่าใดไม่ถูกพระ
ไหว้เปะปะพระประดิษฐ์อิฐปูนปั้น
ใจกระจ่างแจ้งธรรมที่สำคัญ
พระจะพลันพบได้ในใจเรา"
จากการยึดหลักความพอเพียงมาโดยตลอดการสร้างวัด อุโบสถของวัดแห่งนี้จึงเป็นเพียงอุโบสถเล็กๆสีขาวตั้งอยู่หน้าวัด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพระประธาน อุโบสถแห่งนี้จะเปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมของสงฆ์ในวันธรรมดา และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าไปกราบนมัสการพระประธานเฉพาะวันพระและวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น
ส่วนหน้าอุโบสถนอกเขตพัทธสีมาด้านซ้ายและขวามีต้นสาละลังกาและต้นเหลืองปรีดิยาธร ที่หลวงพ่อปัญญานันทะได้ปลูกไว้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2547
เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับลานธรรมหรือลานหินโค้งใหญ่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ หากใครที่เคยไปวัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี คงจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะลานหินโค้งแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเลียนแบบขึ้นมา เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อปัญญาเคยไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม และได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ
และท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร วัดขันเงิน) เป็นสามสหายธรรมร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กุฏิสงฆ์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสมถะ
ลานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ให้การแสดงธรรมภายในวัดเป็นแบบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลาอาคารต่างๆ ภายในวัดจึงมีอาคารเท่าที่จำเป็นแก่ศาสนกิจเท่านั้น
ประชาชนยังคงเดินทางมาเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาอย่างต่อเนื่อง
ลานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ให้การแสดงธรรมภายในวัดเป็นแบบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลาอาคารต่างๆ ภายในวัดจึงมีอาคารเท่าที่จำเป็นแก่ศาสนกิจเท่านั้น
ประชาชนยังคงเดินทางมาเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาอย่างต่อเนื่อง
ลานหินโค้งแห่งนี้ เดิมชื่อว่าลานไผ่ หรือสวนไผ่ เนื่องจากตอนนั้นบริเวณนี้มีต้นไผ่เยอะ กระทั่งปีพ.ศ.2536 หลวงพ่อได้ไปจำพรรษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้รักษาการเจ้าอาวาทแทนหลวงพ่อได้เอาต้นไผ่ออกแล้วแทนด้วยต้นไทร
เนื่องจากต้นไผ่มีใบร่วงเยอะต้องเก็บกวาดบ่อย และต้นไทรก็ให้ร่มเงาที่ร่มเย็นกว่าด้วย
บรรยากาศร่มเย็นเป็นธรรมภายในวัดชลประทานฯ
เมื่อหลวงพ่อกลับมาเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็ได้ถามหาต้นไผ่ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงตอบไปว่า หลวงพ่อไม่อยู่ ต้นไผ่เลยหนีไปเที่ยว แล้วต้นไทรก็อยากมาอยู่กับหลวงพ่อแทน หลวงพ่อได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วบอกว่าดี จะได้ร่มเย็น จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า “ลานหินโค้ง” ตามลักษณะของลานนั่นเอง
ที่ลานหินโค้งแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในทุกๆวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 07.00 น. ลานหินโค้งกว้างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมกันทำบุญใส่บาตร รายล้อมด้วยพระสงฆ์ที่นั่งรับบาตรอยู่บนอาสนะจำนวนหลายสิบรูป
หากใครมาไม่ทันช่วงเช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะตั้งแต่เวลา 09.30 น. พระภิกษุสงฆ์ก็จะออกมาที่ลานหินโค้งอีกครั้งเพื่อรับบาตรฉันเพล บรรยายปาฐกถาธรรม ให้ศีลให้พร ถวายสังฆทานร่วมกัน จากนั้นพระท่านจะสวดมนต์พร้อมๆกับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมธรรมอย่างพร้อมเพรียง หากใครที่สวดมนต์ไม่เป็นก็มีหนังสือบทสวดให้ได้ยืมกัน ส่วนวันจันทร์-เสาร์นั้นพระสงฆ์จะออกรับบาตร ณ ลานหินโค้งในเวลาประมาณ 07.00 น. เพียงรอบเดียวเท่านั้น
ส่วนในบริเวณสวนป่าที่ร่มรื่นสงบใกล้ลานหินโค้งยังมีโต๊ะม้านั่งมากมายเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งต้นไม้ให้ข้อคิด ซึ่งก็คือต้นไม้ที่ถูกปิดป้ายด้วยข้อคิดข้อธรรมต่างๆ อีกทั้งยังมีรูปปั้น ม.ล.ชูชาติ กำภู ผู้สร้างวัด และไม่ไกลกันก็มีรูปปั้นหลวงพ่อปัญญา ให้ประชาชนได้เคารพกันด้วย
แม้จะหมดช่วงเวลาตักบาตรฟังธรรมแล้ว ก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกันได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนพุทธธรรม มีอุบาสกอุบาสิกา มาถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมกันทุกวัน โดยมีพระภิกษุผลัดเปลี่ยนกันมาเทศนาแนะนำสั่งสอนเป็นประจำ อีกทั้งทางวัดได้จัดพระภิกษุคณะหนึ่งให้การศึกษาแก่เยาวชนในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณวัดด้วย ซึ่งมีเยาวชนให้ความสนใจมากมาย อีกทั้งยังมีศูนย์จำหน่ายหนังสือธรรมะ รวมถึงเทปและซีดีธรรมะต่างๆให้ชาวพุทธได้เลือกสรรนำไปศึกษาปฏิบัติต่อไป
ณ เวลานี้ แม้หลวงพ่อปัญญาจะลาลับไปจากวัดชลประทาน แต่ว่าหลักธรรมคำสอน เจตนารมณ์ ความมุ่งหมาย รวมสิ่งที่นักรบแห่งกองทัพธรรมท่านนี้ปฏิบัติ ยังคงอยู่ในจิตใจของชาววัดชลประทานทุกคน รวมถึงยังคงอยู่ในจิตใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ไปตลอดกาล
.................................
“การสร้างพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด วิเศษที่สุด ก็คือคัมภีร์ธรรมที่อยู่ในใจของเรา เอาร่างกายเป็นตู้ใส่คัมภีร์ เอาใจเป็นที่จารึกพระคัมภีร์ จารึกไว้ในใจตลอดเวลา”
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
*****************************************
"วัดชลประทานรังสฤษฏ์" ตั้งอยู่ที่ ก.ม.14 เลขที่ 78/8 หมู่ 1 ถ.ติวานนท์ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 โทร.0-258-8845 วัดแห่งนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยทุกเช้าวันอาทิตย์ทางวัดจะมีกิจกรรมทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม มีโรงเรียนพุทธธรรมสำหรับอุบาสกอุบาสิกา และโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์สำหรับเด็กเยาวชน
ผู้ที่สนใจจะร่วมทำบุญสร้างอุโบสถกลางน้ำ หรือกองทุนอื่นๆของของทางวัด สามารถทำบุญได้โดยเข้าทางบัญชีธนาคาร และไม่ควรส่งเป็นธนาณัติมาที่วัดเพราะธนาณัติบางใบเบิกไม่ได้ ซึ่งทางวัดต้องส่งกลับคืนเจ้าของธนาณัติอีกครั้งด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2583-8845, 08-1831-2367, 08-1830-1923
อนึ่งประชาชนสามารถไปเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาได้ที่ศาลาขจรประศาสน์ และสามารถชมนิทรรศการภาพถ่ายหลวงพ่อได้ที่อาคารฝั่งตรงข้ามศาลาขจรประศาสน์ ได้จนถึงวันที่ 18 ม.ค. 2551
ที่มา จากหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการออนไลน์"
|