พิจารณากายภาคพิสดาร*
ส่วนหลักพิสดารนี่ เขาจะนับมาตั้งแต่ เกศา ผม
ผม ของฉันเกิดอยู่บนศีรษะ มีสีดำเป็นมัน ไม่หงอก ไม่แก่ เป็นเครื่องประดับร่างกายให้ครบถ้วนอาการ ๓๒ ที่เกิดของผม เป็น ท่อสำหรับระบายสิ่งโสโครกออกมา ทำให้สุขภาพร่างกายของฉันแข็งแรงสมบูรณ์
ขน ของฉันที่มีอยู่ทั่วร่างกาย เว้นฝ่ามือและฝ่าเท้า ก็เป็นท่อ ทางระบายสิ่งโสโครกออกมาเป็นเหงื่อเป็นไคลออกมา ทำให้สุขภาพร่างกายของฉันแข็งแรงสมบูรณ์
ก็ว่าไปตามอาการ ๓๒ ตามหน้าที่ของแต่ละส่วนๆ
หลวงพ่อเคยเดินจงกรมอยู่ที่กุฏิ ก็พิจารณาไปอย่างนี้
หลักการพิจารณาตามหลักธรรมะ ท่านให้พิจารณาว่าเป็น ของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ไม่สวยไม่งาม แต่เรามาพิจารณาแบบ ตรงกันข้ามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่สวยงาม แข็งแรง สมบูรณ์
พอพิจารณาไปๆ จิตมันแยกเป็น ๓ มิติ มิติหนึ่ง พิจารณาอยู่ไม่หยุด อีกมิติหนึ่งจ้องมองดูอยู่ อีกมิติหนึ่งนิ่งเฉยอยู่ในท่ามกลางของร่างกายนี่ จึงได้ข้อมูลมาคุยให้ใครต่อใครฟัง
เมื่อเราพิจารณาบ่อยๆ ก็จะได้เห็นบ่อยๆ เพราะฉะนั้น อันดับความเป็นไปของจิตนี่ ในขณะที่เราตั้งใจพิจารณาอยู่ มันเป็นภาคปฏิบัติ แล้วมันสามารถแยกเป็น ๓ มิติได้
ถ้าหากว่าร่างกายหายไป ก็ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว แต่มันจะหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง สภาวะทั้งหลายเป็นอารมณ์ จะมาวนอยู่รอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่จิตไม่ได้หวั่นไหว
นักเทศน์ทั้งหลายยังไม่เคยมีใครเทศน์เลยว่า ในเมื่อจิตไปสู่จุดที่ไม่มีร่างกายตัวตน สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ในช่วงนั้นจะไม่มีภาษาสมมติบัญญัติ สักแต่ว่ารู้ๆ แล้วก็เป็นการรู้เห็นในขณะที่จิตอยู่ในสมถะ เห็นแล้วไม่มีความคิดปรุงแต่ง เห็นอยู่เฉยๆ ทำไมมันจึงไม่มีความคิด เราก็มาได้ความว่า เพราะมันไม่มีเครื่องมือ
จิตจะมีอาการแห่งความคิดได้ต่อเมื่อการสัมพันธ์กับร่างกายมันไม่ตัดขาดจากกัน ถ้ามันตัดขาดจากกันแล้ว มันคิดไม่เป็น
|