หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา
เชิญชม การ์ตูนแอนนิเมชั่น  เสี้ยวลิ้มยี่  (The Legend of Shaolin Kung Fu)
เชิญชม VDO น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
เชิญชม ประวัติศาสตร์การเมือง ตอน ปิดตำนานทักษิณ
เจ้าแม่กวนอิม
ชมตัวอย่างภาพยนตร์,หนัง
ฐานิยปูชา ๒๕๕๑

ดูนิมิตใน (ร่างกาย) ได้ความรู้แจ้ง

ในขณะที่จิตนิ่ง สว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ความสว่างของจิตจะพุ่งออกมารอบๆ เราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งความสว่าง แต่ภายในดวงจิตนั้นสามารถมองเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในทั่วหมดในขณะจิตเดียว เรียกว่ารู้อาการ ๓๒ จนกระทั่งจิตสงบละเอียดยิ่งลงไป จนถึงขนาดร่างกายตัวตนหาย ยังเหลือจิตดวงเด่นนิ่งสว่างไสวอยู่เท่านั้น

ถ้าหากว่าจิตจะเดินไปในทางสมถะ ทางสายฌานสมาบัติ จิตก็จะมีแต่สงบนิ่ง สว่าง ละเอียดยิ่งขึ้นไป ตามลำดับขั้นของฌานสมาบัติ

แต่ถ้าหากว่าจิตไม่ไปเช่นนั้น เมื่อร่างกายตัวตนหายไปแล้ว จะย้อนกลับมามองร่างกายของตัวเอง ขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลือ เมื่อจิตถอนจากสมาธิแล้ว จะได้ความรู้ขึ้นมาว่า นี่แหละคือการตาย ตายแล้วก็ต้องเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นแต่เพียง ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มีที่ไหน

ถ้ามองเห็นความตาย จิตก็รู้ว่านี่แหละคือความตาย

มองเห็นความเน่าเปื่อยผุพังนี่แหละ อสุภกรรมฐาน

มองเห็นร่างกายสลายตัวไปเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะรู้ธาตุ สมถะ รู้ว่ากายของเราสักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มีที่ไหน

อันนั้น อนัตตานุปัสสนาญาณ ความรู้ว่าร่างกาย อัตตา ตัวตนไม่มี เป็นอนัตตาเท่านั้น

เราจะได้ความรู้ตามลำดับขั้นตอนอย่างนี้



ไปข้างบน