อยากปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ต้องหนีเรียนเข้าวัด
ไปเจอเด็กผู้ชายอยู่ที่แปดริ้ว ไปพบกับพระ กรรมฐาน เกิดเลื่อมใส หนีไป ๒ ปี ไปอย่างไม่ส่งข่าวให้พ่อแม่รู้เลย จนกระทั่ง ภายหลังพ่อแม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็ไปตามเอากลับคืนมา มาก็มาบอกว่า
“ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เดี๋ยวก็ตาย” นี่! เขาว่าอย่างนี้
“อยากไปปฏิบัติกรรมฐาน”
พ่อแม่ขอร้องให้กลับไปเรียนอีกแกก็ไม่ยอม ลงผลสุดท้าย ต้องมาหาหลวงพ่อ
หลวงพ่อแนะวิธีทำสมาธิในห้องเรียนให้
“หลวงตาขอร้องให้เธอไปเรียน ไปเรียน ขอเวลาเดือนเดียว แต่ต้องปฏิบัติตามแนวที่หลวงตาแนะนำนี่อย่างเคร่งครัด”
เสร็จแล้วเขาก็ยอม
พอไปเรียนได้เดือนหนึ่ง กลับมารายงานตัว
“ถ้าผมรู้แต่ทีแรกว่าเรียนหนังสือก็ปฏิบัติสมาธิได้ ผมไม่ไปแล้ว ผมปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงตานี่ มันได้ผลดีกว่าไปวิ่ง ตามพระเสียอีก เรียนหนังสือก็ดี เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบ ไม่ต้องไปคิด
คำตอบมันโผล่ขึ้นมาเอง แล้วก็ถูกต้องด้วย ถ้ารู้อย่างนี้ผมไม่ไปเสียแต่แรกแล้ว”
หลานๆ กำลังเรียน ลองไปปฏิบัติดู เวลาอาจารย์มาสอน มองจ้องอาจารย์ ส่งจิตไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์ อย่าให้สายตาและจิตไปอื่น เอาแค่นี้ ไม่เห็นจะยากอะไร
มันมีกฎธรรมชาติอยู่ว่า อาจารย์สอนเรา ท่านรวมกำลังจิต และวิชาความรู้จะถ่ายทอดให้เรา ถ้าเราเอาใจใส่จดจ้อง เราก็ได้รับการถ่ายทอดพลังจิตและ วิชาความรู้จากอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา
อันนี้คือกฎของธรรมชาติ
เรื่องนี้ แม้แต่พระเจ้าพระสงฆ์ท่านก็ไม่ยอมรับ
พระเรียนจบดอกเตอร์จากประเทศอินเดียมา ได้ยินเข้าส่ายหัว ถามว่าเป็นไปได้หรือ
ทุกคนที่เรียนปริญญาจบมาแล้ว ได้ปฏิบัติสมาธิมาแล้ว จริงๆ เช่นอย่างเวลาเราวิจัยวิชาความรู้ของเรานี่คิดวกไปเวียนมาๆ ประเดี๋ยวจิตว่างลง ความรู้ที่เราต้องการรู้มันโผล่ขึ้นมา นั่นคือสมาธิปัญญา
ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้แล้วยอมรับ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งสมาธิ กับหลวงพ่อหลวงพี่ที่วัด ทำมันอยู่กับงานนั่นแหละ การทำ การพูด การคิด เอาสติตัวเดียว เวลานอนลงไป จิตมันคิด ปล่อยให้มันคิดไป เอาสติกำหนดตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องไปอย่างนี้ ได้สมาธิแน่นอน
ถ้าอยากจะให้สมาธิมันดีขึ้น เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์สะอาด กาย วาจา และ ใจ ศีล ๕ ข้อเท่านั้นเป็นหลัก อย่าไปกังวลสิ่งอื่น
|