พระเกิดเป็นเปรต เพราะทำผิดวินัย
นายเยื้อน เดิมรกรากเขาอยู่ที่บ้านชีทวน ภายหลังเขาก็มา ตั้งหลักฐานอยู่ในเมืองวารินฯ เป็นโยมอุปัฏฐากวัดป่าแสนสำราญ เขาจะไปทอดกฐินวัดบ้านเขา เขาก็นิมนต์หลวงพ่อไปด้วย เวลาเดินทางไป ทางมันก็ทุรกันดาร เป็นทางเกวียน กว่าจะไปถึงก็ตั้ง ๔-๕ ทุ่ม
พอไปถึงก็อาบน้ำอาบท่าแล้วก็หลับนอนกัน พอนอนไป ตอนตี ๔ ตื่นขึ้นมา ความเหน็ดเหนื่อย มันก็ยังขี้เกียจอยู่ ก็เลยไม่ลุก นอนกำหนดจิตภาวนาไป
พอจิตสว่างขึ้นมา จิตพุ่งไปสู่จุดๆ หนึ่ง เป็นกุฏิเก่าๆ ร้างๆ จะพังแหล่มิพังแหล่ มองไป เห็นพระ องค์หนึ่ง สูง ยืนจากพื้นนี่ โผล่หน้าออกจากช่องลม ช่องลมนั่นมันเป็นช่องเหนือฝาผนังให้ลมมันผ่าน แล้วก็ตะโกนมาว่า “ผู้มีบุญกรุณาช่วยด้วย ผมพระครูศรี เป็นเปรตอยู่นี่นานแล้ว” ก็เลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา
พอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็มานั่งกำหนดพิจารณา
“พระครูศรีเป็นเปรตเพราะอะไร”
จิตมันก็บอกว่า ท่านทำผิดวินัย ๒ ข้อ หนึ่งน้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน สอง น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ ส่วนบุคคล* สงฆ์ไม่ได้อนุญาตให้ ท่านแสดงอาบัติไม่ตก ตายไปแล้ว มาเกิดเป็นเปรต
* น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน คือ นำไปเป็นสมบัติของตัวเอง
น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนบุคคล คือ นำไปให้ใครคนใดคนหนึ่ง
“มีทางแก้ไหม” จิตเขาก็ถามต่อไป
แล้วจิตหนึ่งก็ตอบว่า “มี ต้องประชุมสงฆ์ ขอมติสงฆ์ ให้สงฆ์อนุญาตและยกโทษให้ ท่านจึงจะพ้นจากความเป็นเปรต”
พอตื่นเช้ามา พวกชาวบ้านเขาก็มาจังหันกัน ลองๆถาม คนแก่อายุเจ็ดแปดสิบดูว่าพระที่ชื่อพระครูศรี เมื่อก่อนนี้ ที่อยู่วัดนี้ เมื่อก่อน เคยมีไหม เขาก็บอกว่ามี เป็นพระเถระที่มาจากเวียงจันทน์ แล้วก็มาตั้งวัดนี้ขึ้น
“แล้วมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า หลังจากที่ท่าน มรณภาพไปแล้ว”
เขาก็บอกว่า ท่านยังเป็นเปรตอยู่กุฏินั่น เขาชี้ให้ดู แต่หลวงพ่อไปเดินสำรวจดูแล้ว พอสว่างก็ไปเดินสำรวจดูแล้ว
“รู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นเปรต”
เขาบอกว่า เวลาไปเอาของในกุฏินั้นออกมาใช้ พระไปเอาหนังสือใบลานมาอ่าน เอาพร้ามีดมาใช้ ถ้าไม่รีบส่ง ปล่อยให้มืด ท่านจะมาทวงทันที ถ้าหลวงพ่อไม่เชื่อพวกผม นิมนต์พักอยู่นี่อีกสักคืนหนึ่ง จะพาไปทดลองดู หลวงพ่อก็เลยบอกว่า
“โอย! อย่าไปทรมานท่านเลย เราพอมีทางที่จะช่วยเหลือท่าน”
พอหลังจากทอดกฐินแล้ว พระเณรก็มารวมกันหมด ก็เลยปรารภว่า “พวกท่านเชื่อไหมว่า ครูบาอาจารย์เรานี่ท่านยังอยู่ในกุฏิของท่าน ยังไม่ไปไหน”
“อู๊ย! เชื่อขอรับ ท่านเป็นเปรตอยู่นั่น ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย” เขาว่า
หลวงพ่อก็แกล้งถามดูว่า “รู้ได้ไงว่าท่านเป็นเปรต”
“ก็รู้ได้เวลาไปเอาของจากกุฏินั้นมาใช้ ถ้าส่งไม่ทัน ปล่อยให้มืด ท่านจะมาทวงทันที ถ้าหลวงพ่อไม่เชื่อ นิมนต์พักอยู่นี่อีกสักคืน จะพาไปทดลองดู”
หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “เชื่อแล้วล่ะ! ไม่ต้องทดลอง ไม่ต้องทรมานท่านให้มันมากนัก เรามีทางพอจะช่วยท่าน”
“หลวงพ่อจะทำอย่างไร”
ก็เลยถามว่า “พวกท่านรู้ไหมว่า ครูบาอาจารย์เราเป็นเปรตเพราะอะไร”
“ไม่รู้”
ก็เลยบอกว่า “ท่านทำผิดวินัย ๒ ข้อ ข้อ ๑ น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อ ๒ น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนบุคคล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ สงฆ์ไม่ได้อนุญาตให้
ท่านแสดงอาบัติไม่ตก ตายแล้วจึงมาเป็นเปรตอยู่นี่”
พระองค์หนึ่งถามขึ้นมาว่า “ทำอย่างไรจึงจะช่วยท่านได้”
“มันไม่ยาก เรามาประชุมสงฆ์กันเดี๋ยวนี้ เอ้า! เราเริ่มได้ทันที
ขอสงฆ์ทั้งหลายจงฟัง ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ครูบาอาจารย์ของเราทำผิดวินัย ๒ ข้อ ข้อ ๑ น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อ ๒ น้อมลาภของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนบุคคล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทีนี้ท่านจะพ้นโทษได้หรือไม่ได้ อยู่ที่มติของสงฆ์ ผมจึงขอมติจากท่านทั้งหลายว่า สมควรจะยกโทษให้ท่านไหม สมควรจะอนุญาตให้ท่านไหม ถ้าหากท่านใดไม่เห็นสมควรก็ขอให้คัดค้านขึ้น ถ้าเห็นสมควรแล้ว
ก็จงสาธุขึ้นพร้อมกันดังๆ ๓ ครั้ง”
พระทุกองค์ก็ สาธุ! สาธุ! สาธุ! พร้อมกัน ๓ ครั้ง
หลวงพ่อก็เลยประกาศบอกว่า “พระครูศรีเอ๊ย! ท่านทำผิด
วินัยที่ท่านทราบอยู่แล้ว บัดนี้คณะสงฆ์อโหสิกรรมให้แล้ว ยกโทษให้แล้ว ขอท่านจงพ้นจากบาปกรรมนั้นๆ เถิด”
แล้วก็พาพระนั่งสมาธิ ๒๐ นาที บอกว่าใครมีคุณงามความดี
มีบุญกุศลอันใดที่นึกว่าตนมี ขอให้น้อมเอารวมกันแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน โยมก็กรวดน้ำอุทิศ นั่งสมาธิอยู่ ๒๐ นาที แล้วพระสงฆ์ ยถา สัพพี
พอเสร็จแล้ว ในคืนวันนั้นแหละ พระองค์นั้นก็ไปเอาอันนั้นมา อันนี้มา ของที่ท่านเคยหวงนั่นแหละ เอามาไว้กุฏิของตัวเอง ชาวบ้านก็เอาไปไว้ในบ้าน ก็ไม่ปรากฏว่าท่านตามไปทวงอย่างเคย เขาทดลองแล้วทดลองเล่าจนแน่ใจ เขาก็แน่ใจว่าท่านไปเกิดแล้ว กุฏิหลังนั้นเขาก็เลยรื้อลงสร้างใหม่แล้ว
ภายหลังมาก็ไปเล่าให้หลวงพ่อบุญ ชินวังโส ฟัง พอท่านฟังจบ ท่านก็เลยบอกว่า
“เจ้าก็เก่งกว่าอาจารย์ซิเนาะ เมื่อก่อนนี้เขานิมนต์ท่านอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์พร สุมโน) กับผมนี่ ไปนั่งภาวนาอยู่นั่น อุทิศส่วน
กุศลให้มันอย่างใด มันก็ไม่ยอมรับ”
ก็เลยบอกว่า “ท่านอาจารย์ทำไม่ถูก มันจะไปแก้ได้อย่างไร อันนี้มันเกี่ยวกับสมบัติของสงฆ์ ต้องประชุมสงฆ์ มันจึงจะแก้ตก อันนี้ไปนั่งอุทิศส่วนกุศลให้เฉยๆ นี่ ไม่มีทาง”
ท่านอาจารย์พร อาจารย์บุญ ก็ไปที่เดียวกันนั่นแหละ เขาให้ไปนอนอยู่ในกุฏินั้นด้วย เวลาไปนอนอยู่นั่น พอดับไฟลงปั๊บ เดินตุ๊บๆๆ ขึ้นมา มาก็เหมือนๆ มาเปิดตู้หนังสือ แล้วก็คล้ายๆ กับว่าแก้ผ้าห่อหนังสือออก
ผ้าห่อหนังสือใบลานนี่เขาห่อพันๆๆๆ แล้วก็ มัดเอาไว้ พอจุดไฟขึ้น หายเงียบไป ดับไฟลง เดินตุ๊บๆๆ ขึ้นมา อีกแล้ว มันก็มาแก้แต่ห่อหนังสือนั่นแหละ
อันนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องฝัน
|