ไม่มีเจตนาไม่เป็นอาบัติ
เมื่อวานนี้ก็มีท่านหนึ่งที่ไปปลงอสุภะศพที่โรงพยาบาลตำรวจ บังเอิญไปเห็นปัจจัยเขาตกอยู่ เก็บเอามาไว้ พอมาดูของตัวเอง อ้าว! ของเรายังอยู่ ก็เลยเอาไปคืนไว้ แล้วก็สงสัยข้องใจตัวเอง ว่าเก็บของตกนี่เป็นอาบัติหรือเปล่า ทีนี้ ถ้าหากว่าของนั้นไม่ใช่ของเรา
เป็นของที่ตกอยู่ ของตกหล่นซึ่งเป็นของมีค่า เจ้าของเขายังอาลัยในสิ่งของของเขา ถ้าพระภิกษุไปเก็บ ต้องอาบัติตามราคาของสิ่งของ ถ้ามีราคาต่ำกว่า ๑ บาท ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าหากว่ามีราคามากกว่า ๑ บาท คือมากกว่า ๕ มาสก มาสกหนึ่ง ๒๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ ๕ หน เป็น ๑ บาท
สมัยโบราณท่านเปรียบเทียบกับทองคำหนักเท่าเมล็ดข้าวเปลือก แล้วก็เทียบออกมาเป็นเงินตรา เป็นราคา ๑ บาท ถ้าสิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของเรา หรือเราไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นของเรา ไปหยิบเอาโดยเจตนาก็เป็นอาบัติ
ถ้าของนั้นเกินราคา ๑ บาทขึ้นไป ก็เป็นอาบัติปาราชิก แต่ว่าท่านผู้ที่เก็บเงินตกได้นึกว่าเป็นของตัวเองตกหล่น
ก็เลยเก็บมา พอมาสงสัยว่าผมจะเป็นอาบัติไหม เพราะในเมื่อมาดูของตัวเองแล้ว ของเรายังอยู่
จึงเข้าใจว่าของนั้นเป็นของคนอื่นที่ทำตกเอาไว้ ก็เลยเอาไปคืนเขา
นี่ ในลักษณะอย่างนี้ เราไม่มีเจตนา เราไม่มีเจตนาที่จะไปหยิบเอาของของเขา แต่เราเข้าใจว่าเป็น ของของเรา ไม่เป็นอาบัติ เป็นอาบัติเฉพาะจับเงินจับทอง เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ รับเงินทองด้วยมือตัวเอง
เหตุการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ปากกาอยู่ในย่าม ปากกาด้ามนั้นมันราคา ๓๐๐ บาท ปาร์คเกอร์สมัยก่อน เอาใส่ย่าม แล้วก็เดินไปในเมือง ย่ามสมัยก่อนมันไม่มีถุงเล็กถุงน้อยเหมือนอย่างทุกวันนี้ ก็เสียบเกาะปากย่าม เวลาดึงเอาของ ของมันก็มาเกาะเอาปากกาหลุดหล่นไม่รู้ตัว
จนกระทั่งเข้าไปทำธุระในเมืองหลายชั่วโมง กลับมาแล้วก็มาเห็นปากกาตกหล่น ก่อนที่จะหยิบ
ก็ค้นหาปากกาในย่ามของตัวเอง มันไม่มี แล้วมองดูปากกาที่ตกอยู่นั่น มันรูปร่างลักษณะก็เหมือนของเรา แล้วยังแถมมีสลักชื่อด้วย ก็เลยหยิบขึ้นมาดู แต่ถ้าหยิบขึ้นมาดูแล้วไม่เห็นชื่อ เราก็ต้องวางไว้ที่เดิม ในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ
|