ผู้รู้จริงจะไม่คุยโวโอ้อวด.....
คนรู้จริงเห็นจริงเขาจะไม่พูด สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่รู้ด้วยเขาจะไม่พูด พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดอะไรขึ้นมาก่อน ถ้าหากมีพระสาวกองค์ใด ไปรู้เห็นตรงกับที่พระองค์เคยรู้เคยเห็นมา
นำเรื่องมากราบทูลถามว่าเรื่องอย่างนี้ๆๆ มันเป็นไปได้ไหม พระองค์จะเอาผู้นั้นเป็นหลักฐานพยานในการเทศนา
เช่นอย่างนางกุลธิดาคนหนึ่ง เอาดอกบวบขม ๔ ดอก จะไปบูชาพระสถูปเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ทีนี้แกก็วิ่งตามหลังเขาไป ไม่ได้พิจารณาถึงทางว่ามันจะมีอันตรายอะไร บังเอิญโคลูกอ่อนมาขวิดแกตายในขณะนั้น ยังไม่ได้ไปบูชา แล้วแกก็ไปเกิดในสวรรค์ มีวิมานทองอยู่ สูงถึง ๑๒ โยชน์
เครื่องประดับตกแต่งล้วนแต่สีเหลือง เสร็จแล้วพระโมคคัลลาน์ไปพบแกเข้า ไปเห็นสมบัติแกมากมายก่ายกอง เลยถาม “นางทำบุญอะไร จึงได้มีสมบัติมากมาย” แกก็เอียงอาย เพราะว่าแกทำบุญนิดหน่อย เพียงแค่เอาดอกบวบขม ๔ ดอกจะไปบูชา แล้วก็ยังไม่ได้บูชาเสียด้วยซ้ำ ไปตายกลางทาง
แล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็ไม่อยากบอก แต่พระคุณเจ้าเคี่ยวเข็ญ ทนไม่ไหวก็ต้องบอก พอบอกแล้วพระโมคคัลลาน์ก็นำเรื่องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พอกราบทูลเสร็จปั๊บ “โมคคัลลาน์ เธอไปรู้ไปเห็นมาแล้ว จะมาถามเราทำไม เรียกพระภิกษุสงฆ์มาประชุมกัน เราจะแสดงธรรม” นั่นแหละพระองค์จึงจะพูด
สาวกสมัยปัจจุบันนี้มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมนี่ก็.. “มาๆๆ มาปฏิบัติกับอาตมานี่ จะไม่ให้เกิน ๗ วัน”
ครูบาอาจารย์ของเรานี่ก็มีหลายองค์ เคยชักชวนหลวงพ่อไปอยู่ด้วย “ไปอยู่กับผมไหมล่ะ อย่างท่านนี่จะไม่ให้เกิน ๗ วัน จะให้สำเร็จ” แต่ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้านั้นสำเร็จอะไร
ภายหลังมา ผู้ที่มาชักชวนเราให้ไปปฏิบัติด้วย จะ ให้เราสำเร็จภายใน ๗ วันนี่ ภายหลังนี่ท่านก็สึกไป
|