คุณไสยมนตร์ดำ มีแล้วในครั้งพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล มีบุรุษคนหนึ่งที่มีคาถาอาคมมนตร์ดำขลัง และเก่งทางด้านไสยศาสตร์ มีนามว่า วังคีสะ ท่านผู้นี้ก็มีเรื่องราวปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งมีเนื้อหาอันชวนศึกษาและให้ระลึกว่าไสยศาสตร์มนตร์ดำคาถาอาคมมีอยู่จริงมากว่าสองพันปีแล้ว
สิ่งที่นายวังคีสะมีเป็นมนตร์ขั้นสูง ขมังเวทย์มาก แม้แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ยังทรงยอมรับในมนตร์นั้น ต่อมาภายหลังท่านได้ออกอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ได้รับยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ
"พระธาตุ ของ พระวังคิสะเถระ สัณฐานดังเมล็ดน้อยหน่าตัด"
เคาะแล้วรู้
พระวังคีสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในนครสาวัตถี ได้รับการศึกษาจบไตรเพท จนมีความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงให้เรียนมนตร์ พิเศษอีกอย่างหนึ่งชื่อว่า “ฉวสีสมนตร์”
มนตร์ชนิดนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นมนตร์ที่ใช้พิสูจน์กะโหลกศีรษะของซากศพมนุษย์ แม้จะตายไปแล้วถึง ๓ ปี โดยใช้นิ้วเคาะหรือดีดที่หัวของศพ หรือกะโหลก ก็จะรู้ว่าเจ้าของศีรษะหรือกะโหลกนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร เกิดที่ไหน
วังคีสะมาณพได้อาศัย มนตร์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต
พวกพราหมณ์พิจารณาเห็นว่า วังคีสะมาณพพอจะเป็นที่พึ่งในการเลี้ยงชีพได้ จึงให้วังคีสะมาณพนั่งไปบนยานพาหนะที่มีเครื่องปกปิดไว้ แล้วพาสัญจรไปตามคามนิคมชนบทราชธานีต่างๆ และแวะพักตามประตูบ้าน ประตูเมืองเพื่อประกาศให้รู้จักกันทั่วไปแล้วก็พูดว่า ผู้ใดเห็นวังศีสะ ผู้นั้นจะได้รู้ที่เกิดของญาติ มิตร ของผู้ที่ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ชนทั้งหลายเมื่อได้ฟังถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้นแล้วก็ให้สินจ้าง ร้อยหนึ่งบ้าง พันหนึ่งบ้าง แก่พวกพราหมณ์ เพื่อต้องการจะดูความสามารถของวังคีสมาณพ
ฝ่ายวังคีสะก็ให้นำกะโหลกศีรษะของคนที่แม้จะตายไปแล้วถึง ๓ ปีมา เอาเล็บเคาะแล้วกล่าวว่า สัตว์นี้บังเกิดในกำเนิดที่โน้น ที่นั้น และเพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน เขาก็สามารถไปพาเอาเจ้าของกะโหลกนั้นมาเล่ายืนยันความเป็นไปของตน ด้วยเหตุนั้น มหาชนจึงพากันเลื่อมใสยิ่งในวังคีสะนั้น.
ใครจะเก่งกว่ากัน
พราหมณ์ทั้งหลายพาวังคีสะท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถีอีกตามเดิม โดยได้มาพักอยู่ใกล้กับพระเชตวันมหาวิหาร
ในตอนเช้าของวันหนึ่ง พวกพราหมณ์ผู้เป็นบริวารของวังคีสะมาณพนั้น เมื่อได้เห็นประชาชนถือดอกไม้และเครื่องสักการะไปยังวัดพระเชตวัน จึงถามว่า
“ท่านทั้งหลาย จะไปไหนกัน ?”
“พวกเรา จะไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน” พุทธบริษัทตอบ
พวกพราหมณ์จึงกล่าวทักท้วงและอธิบายถึงสรรพคุณของวังคีสะมาณพให้ฟังว่า
“พวกท่านจะไปที่นั่นกันทำไม เพราะบุคคลผู้จะวิเศษทัดเทียมเท่ากับวังคีสะมาณพของพวกเราเป็นไม่มีอีกแล้ว”
มหาชนได้ฟังดังนั้น ก็จึงกล่าวคัดค้านคำพูดของพวกพราหมณ์
ฝ่ายพวกพราหมณ์ผู้เป็นบริวารของวังคีสะมาณพก็กล่าวอวดอ้างอาจารย์ของตนท่าเดียว
การโต้ตอบกลายเป็นการโต้เถียงเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่เป็นที่ยุติ
ต้องพิสูจน์
ครั้งนั้น วังคีสะมาณพได้ฟังคำโต้เถียงของบุคคลเหล่านั้น แล้วเกิดความสนใจ จึงคิดว่า
“พระสมณโคดมเป็นบัณฑิต เราควรจะเที่ยวสัญจรไปกับพวกพราหมณ์นี้ตลอดกาลเป็นนิตย์ หรือว่าเราควรจะไปหาบัณฑิตอย่างพระสมณโคดม”
เมื่อคิดอยู่ชั่วครู่ ก็จึงตัดสินใจที่จะไปเฝ้า พระสมณโคดม จึงกล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายว่า
“นี่แน่ะท่านทั้งหลาย พวกท่านจงไปเถิด เราจะไปเฝ้าพระสมณะโคดม เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยลำพังผู้เดียว”
พวกพราหมณ์เหล่านั้นบอกว่า
“วังคีสะท่านอย่าเข้าเฝ้าพระสมณะโคดมเลย เพราะคนใดเห็นพระสมณะนั้น พระสมณะนั้นก็จะกลับใจบุคคลนั้นเสียด้วยมายาคือการล่อลวง”
แต่วังคีสะก็หาได้เชื่อฟังไม่ และในที่สุดก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ตามความปรารถนา
ทดสอบวิชา
เมื่อไปถึง วังคีสะก็ได้นั่งลงในที่อันสมควรแก่ฐานะของตน
ครั้งนั้นพระศาสดาทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสถามว่า
“วังคีสะ เธอรู้ศิลปวิทยาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ?”
“ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์รู้จักมนตร์เคาะกะโหลกศีรษะคนตายพระเจ้าข้า” วังคีสะทูลตอบ
พระศาสดาจึงตรัสถามต่อไปว่า
“มนตร์นั้นเธอกระทำอย่างไร วังคีสะ?”
วังคีสะมาณพได้กราบทูลว่า
“ข้าพระองค์ร่ายฉวสีสมนตร์แล้วเอาเล็บเคาะกะโหลกศีรษะของคนที่ตายไปแล้วตั้ง 3 ปี ยังสามารถรู้ถึงสถานที่เกิดของเขาได้พระเจ้าข้า”
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับเช่นนั้น จึงมีรับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา ๕ กะโหลก คือ:-
๑. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในนรก
๒. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
๓. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นมนุษย์
๔. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในสวรรค์
๕. กะโหลกของผู้นิพพานแล้ว
เมื่อได้กะโหลกศีรษะมาครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบดูว่าเจ้าของกะโหลกเหล่านั้นไปเกิดที่ไหน
เมื่อวังคีสะได้ร่ายมนตร์แล้ว ก็เอาเล็บเคาะกะโหลกศีรษะที่ 1 และกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระสมณโคดม ผู้นี้ไปเกิดในนรก พระเจ้าข้า”
“ถูกต้องแล้วละ วังคีสะ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับรอง แล้วตรัสให้เคาะกะโหลกที่ 2 ต่อไป
เมื่อวังคีสะได้เคาะกะโหลกที่ 2 แล้ว ก็กราบทูลว่า
“ผู้นี้ไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน พระเจ้าข้า”
“ใช่แล้ว วังคีสะ...เธอจงเคาะกะโหลกที่ 3 และ 4 เพื่อพิสูจน์ต่อไปเถิด”
เมื่อ วังคีสะได้เคาะกะโหลกที่ 3 และ ที่ 4 แล้วก็กราบทูลว่า
“เจ้าของกะโหลกศีรษะที่ 3 นี้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ส่วนเจ้าของกะโหลกศีรษะที่ 4 ไปเกิดในสวรรค์พระเจ้าข้า”
“ถูกแล้ว” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับรอง แล้วจึงชี้ไปที่กะโหลกศีรษะที่ 5 พลางตรัสว่า
“เอาละ ทีนี้เธอลองตรวจดูซิว่า เจ้ากะโหลกศีรษะที่ 5 เขาไปเกิด ณ ที่ใด”
วังคีสะมาณพก็ได้กระทำตามวิธีการเดิม กล่าวคือ ร่ายมนตร์แล้วเคาะกะโหลกศีรษะของผู้นิพพานแล้ว... แต่ปรากฏว่าไม่สามารถจะรู้เบื้องต้น เบื้องปลายได้เลยว่าไปเกิด ณ ที่ใด
“วังคีสะ เธอไม่อาจจะรู้ได้ใช่ไหม ?”
“ไม่รู้ พระเจ้าข้า แต่ขอได้โปรดให้ข้าพระองค์พิสูจน์ดูอีกสักครั้งเถิด”
เมื่อกราบทูลเช่นนั้นแล้ว ก็จึงร่ายมนตร์ แล้วเคาะกะโหลกศีรษะนั้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้นั้นไปเกิด ณ ที่ใด
เขาได้พยายามกระทำเช่นนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า หวังจะให้รู้ให้ได้ แต่ก็หาได้รู้ไม่
ทั้งนี้ก็เพราะว่า มนตร์ภายนอกพระพุทธศาสนาจะนำมาพิสูจน์เพื่อให้รู้คติของผู้สิ้นอาสวกิเลสและนิพพานแล้ว ย่อมไม่ได้ผล
ในขณะนั้น เหงื่อได้ไหลพรูออกจากกระหม่อมของวังคีสะ
วังคีสะเกิดความละอายเป็นที่สุด ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่
ชวนแลกมนตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นวังคีสะ กำลังมีกิริยาอาการอึดอัดใจ จึงได้ตรัสถามว่า
“ดูกรวังคีสะ เธอลำบากใจหรือ?”
วังคีสะก็กราบทูลยอมจำนนรับไปตามความจริงว่า
“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์มีความลำบากใจ ที่ไม่สามารถจะรู้ถึงที่ไปของเจ้ากะโหลกศีรษะนี้ได้”
“แต่ตถาคตรู้ วังคีสะ”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบได้ด้วยอะไร พระเจ้าข้า”
“ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง ความรู้นี้มิใช่วิสัยของเธอที่จะรู้ได้ แต่เป็นวิสัยของตถาคตต่างหาก นี่เป็นกะโหลกศีรษะของผู้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว”
วังคีสะปรารถนา จะได้มนตร์ จากพระผู้มีพระภาค จึงกราบทูลขอชวนแลกมนตร์ขึ้นว่า
“ข้าแต่พระโคดม อันความเสื่อมย่อมไม่มีแก่ผู้แลกวิชากัน ข้าพระองค์จักถวายมนต์ที่ข้าพระองค์รู้แด่พระองค์ และขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกมนต์นั้นแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปฏิเสธว่า
“วังคีสะ ตถาคตไม่แลกเปลี่ยนวิชา แต่ว่าตถาคตจะให้วิชาของตถาคตแก่เธอ”
บวชก่อนจึงจะสอนให้
ลำดับนั้น วังคีสะ ได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับจะสอนมนต์นั้นให้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้เรียนจะต้องบวช จึงจะสอนให้ วังคีสะ คิดว่า ถ้าเรียน
มนต์นี้จบก็จะไม่มีผู้เทียมได้เลย จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้นรอยู่สัก ๒-๓ วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะกันต่อไป
เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานพระกรรมฐาน มีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ รับสั่งให้สาธยายท่องบริกรรม พร้อมทั้งพิจารณาไปด้วย ฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะ ๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง
วังคีสะ ก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ โดยเวลาล่วงไปไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่หวนกลับสึกออกมาประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของตน ๆ
|