สมาธิเพื่อชีวิต ตอน 4

ตัวอย่างคนที่แสวงหาลาภ ทรัพย์สินเงินทอง ก็เพ่งมองแต่ด้านคุณของทรัพย์สินเงินทองแต่ประการเดียว ไม่เคยนึกเฉลียวถึงด้านโทษของมันซึ่งมีอยู่เป็นอันมากเหมือนกัน เช่น บางคนต้องเสียชีวิตลงเพราะป้องกันทรัพย์ของตน บางคนต้องแตกจากมิตร บางคนต้องเสียคนเสียความเป็นคนดี เพราะทะนงในทรัพย์สิน บางคนต้องคอยระวังรักษาไม่เป็นอันหลับนอน ฯลฯ เหล่านี้ล้วน เป็นโทษที่แฝงมากับการมีทรัพย์ทั้งสิ้น

ความเสื่อมลาภหรือเสื่อมทรัพย์นั้น คนทั้งหลายเป็น อันมากก็พากันเพ่งมองว่าไม่ดี แต่ความจริงมีดีอยู่เป็นอันมาก ทำให้ทรัพย์ภายในคือคุณธรรม เช่น ความขยันหมั่นเพียรเพิ่มขึ้น ไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างคนมีทรัพย์ บางคน มีความเจียมตัวเจียมใจ สุภาพอ่อนโยน เป็นเหตุ ให้เป็นที่รักของคนทั้งหลายผู้เข้าใกล้คบหาสมาคม มีศรัทธาในศาสนาเป็นแหล่งเพาะอุปนิสัยที่ดีให้แก่ตน ยิ่งกว่านั้นบางคนได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมและชาติบ้านเมือง ก็เพราะเหตุที่ตนเป็นคนขัดสนทรัพย์ จำเป็นต้องทำงานหาทรัพย์มาเลี้ยงตนด้วยเรี่ยวแรงกำลัง ผลงานของเขาเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป ยั่งยืนนานดีกว่า คนมั่งมีนั่งกินนอนกินแล้วตายไปโดยทิ้งศพของตนไว้ให้เป็นที่ลำบากแก่คนที่อยู่ข้างหลัง

ที่พูดถึงแง่เสียของการมีลาภและแง่ดีของความเสื่อม ลาภในที่นี้ก็เพื่อให้ผู้สนใจได้มองเห็นทั้งด้านคุณและด้านโทษของสิ่งๆ เดียว เพื่อจะได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันด้วยสติปัญญาอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่า

“อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปฺณโญ ปริภุญฺชติ ถือเอาความว่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ด้วยการพิจารณาเห็นโทษ และมีปัญญาในการสลัดออก” คือ ไม่นำตนเข้า ไปผูกพันชนิดที่ถอนไม่ขึ้น แต่เข้าไปบริโภคใช้สอยอย่าง มีสติปัญญาโดยประการที่จะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น ไม่ให้สิ่งนั้นย่ำยีเอาแล้วต้องคร่ำครวญว่า “ทุกข์หนอๆ” แต่ก็ยังกอดรัดสิ่งนั้นเอาไว้ ยึดสิ่งนั้นเอาไว้เหมือนที่ร้อง ว่า “ไฟร้อนหนอ” แล้วก็วิ่งเข้าหากองไฟครั้งแล้วครั้งเล่า ลองคิดดูเถิดว่าน่าสงสารสักเพียงใด

คนส่วนมากแสวงหา ลาภ ยศ และสรรเสริญด้วยคิด ว่า ถ้าได้มาก็จะทำให้ตนมีความสุขขึ้นเป็นผู้สมบูรณ์ขึ้น จะเป็นจริงดังนี้ได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นทำตนอยู่เหนือ ลาภ ยศ และสรรเสริญ แต่ถ้าได้มาแล้วกลับตกเป็นทาสของมัน เขาก็จะมีแต่ความเศร้าโศกเป็นเบื้องหน้า ต้องหยั่งลงสู่ทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้าอย่างแน่นอน เพราะสิ่งนี้พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาอันยอดเยี่ยมได้ตรัสบอกไว้แล้วว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อนิจฺโจ ทุกฺโข วิปริณามธมฺโม” ใครไปฝืนกระแสอันนี้เข้าก็เท่ากับฝืนกระแสแห่งสัจจะ ย่อมต้องเดือดร้อนเองเศร้าหมองเอง ทุกข์ทรมานเอง

บางคนเก็บเอาเรื่องที่ล่วงแล้วนานปีมาเศร้าโศกทรมานใจ ความจริงอดีตก็ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีต มันไม่กลับฟื้นคืนชีพมาอีกแล้ว อย่าว่าแต่นานปีเลย แม้เพียงแต่ชั่วโมงเดียวที่ล่วงแล้วก็ถอยหลังไม่ได้ อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย เมื่อมันล่วงไปแล้วก็ปล่อยให้มันล่วงไปเถิด อย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกเลย

บางคนเหนี่ยวรั้งเอาเรื่องอนาคตมากังวลเศร้าหมอง กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรในปัจจุบันให้จริงจัง เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้แต่ท้อแท้ อ่อนแอ เพราะความหวาดกลัวเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจ

จงให้กำลังใจแก่ตนเองเสมอๆ ว่า “จงทำปัจจุบันให้ดีเถิด อนาคตจะดีเอง” หรือ “อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถิด ฉันทำปัจจุบันดีที่สุดแล้ว”

เมื่อเป็นดังนี้อารมณ์หรือจิตใจก็อยู่เฉพาะปัจจุบัน ความเศร้าโศกไม่มี ความวิตกหมกมุ่นก็ไม่มี เพราะ ความกังวลไม่มี นี่แหละคือที่พึ่งอันเกษมของดวงจิต หาใช่อื่นไม่ เมื่อจิตได้ที่พึ่งอันเกษมอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก จิตไม่โศกนั้นเป็นมงคลอันสูงสุดข้อหนึ่ง