แต่จะด้วยประการใดก็ตาม เรื่องของธรรมะนี้ ถ้าจะว่ากันตามแบบแผนตามตำรากันจริงๆ แล้ว รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องสับสน หากพูดถึงคัมภีร์พระไตรปิฎกก็มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวบรวมเป็นหนังสือเฉพาะตัวภาษาบาลีมีถึง ๔๕ เล่ม แต่ละเล่มยกแทบไม่ไหว ทุกเล่มนั้นบันทึกธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามาทำความเข้าใจในการศึกษาธรรมะ เราพอที่จะย่นหัวข้อไว้ได้ ๒ ประเด็น
๑. การศึกษาธรรมะตามแบบหรือตำรับตำรา
การศึกษาธรรมะตามแบบหรือตามตำรับตำรานั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องพากเพียร พยายามท่องบ่น จดจำ รู้สึกว่าเป็นภาระมากมายเหลือเกิน จนกระทั่งว่าเราจะตั้งใจศึกษาธรรมะนี้ จะเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ยังไม่จบ เพราะคำว่าธรรมะนี้มันมากมายกว้างขวางเหลือเกิน แต่ที่เราจะมาศึกษาธรรมะตามสภาพความเป็นจริง รู้สึกว่ามันจะย่นเข้ามาสั้นหน่อย จะใช้เวลาการศึกษาแบบที่เรียกว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันเหมือนกัน แม้ว่ามันจะสั้นก็ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ผลลัพธ์มันต่างกัน การศึกษาธรรมะตามสภาพความเป็นจริงมันทำให้เรารู้จักของจริง แต่ก่อนที่จะพูดถึงว่าของจริงคืออะไรนั้น ใคร่จะแยกธรรมะที่เกี่ยวเนื่องหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าออกเป็น ๒ ประเด็น
ประเด็นแรก หมายถึงสภาวธรรมที่เป็นสิ่งที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด
ประเภทที่หนึ่ง คือสังขารที่มีใจครอง ได้แก่ สิ่งที่มีจิตใจและร่างกาย จะเป็นอะไรก็ตาม
ธรรมะส่วนที่เป็นสภาวธรรมที่มีใจครอง จะพูดเฉพาะแต่มนุษย์เราฝ่ายเดียว มนุษย์เรานี้มีกายกับใจ มีกายกับใจเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าสอนว่า "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ" ในเมื่อใจเศร้าหมอง การพูด การทำ การคิด ก็เป็นไปในทางทุจริต คือชั่วโดยกายและวาจา ในเมื่อจิตผ่องแผ้ว มันก็เป็นไปเพื่อความสุจริต ซึ่งเรียกว่า ดีด้วยกาย ดีด้วยใจ ดีด้วยวาจา เพราะฉะนั้น ในกายของเรามีใจเป็นใหญ่ ในโลกนี้เราสรุปความเห็นของคนทั่วๆ ไปได้ ๒ ทาง
๑. เห็นว่ากายอยู่ในใจ
ผู้เห็นว่ากายอยู่ในใจ หมายถึงใจเป็นใหญ่ เป็นผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะทางความสุข เมื่อเราจะแสวงหาความสุขให้แก่ใจ แม้ว่าส่วนร่างกายจะทนทุกข์ทรมานบ้างก็ยอมเสียสละ เช่นอย่างนักบวชทั้งหลายต้องการความสุขให้แก่ใจ เมื่อเป็นคฤหัสถ์รับประทานอาหารวันหนึ่ง ๓ มื้อ แต่เมื่อบวชแล้วต้องรับประทานวันละ ๑-๒ มื้อ อีก ๑ มื้อหรือ ๒ มื้อนั้นตัดทิ้งไป เพราะเข้าใจว่าโดยวิธีนี้จะทำให้ใจมีความสุข ในบางครั้งก็ทนนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บป่วยที่จะมีขึ้นแก่ร่างกาย ขอให้แต่มีความสุขเกิดขึ้นกับใจเป็นพอ อันนี้สำหรับบุคคลผู้เห็นว่ากายอยู่ในใจ
ส่วนบุคคลที่เห็นว่าใจอยู่ในกาย เขาย่อมประกอบกิจต่างๆ ที่เขาเห็นว่าจะทำให้ร่างกายมีความสุข แม้จะเป็นทางที่ผิดบ้างถูกบ้าง ผิดศีลธรรมบ้าง ผิดกฎหมายบ้าง ขอแต่ให้กายเรามีความสุข นี่เป็นความเห็นของคนในโลกนี้ มี ๒ ประเภท
แต่จะด้วยประการใดก็ตาม การจะแสวงหาความสุข เราก็ต้องพิจารณาดูความพอเหมาะพอดี คือกายก็ไม่ต้องทรมานกันมากนัก เพราะกายกับใจถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าใจเกิดทุกข์ก็จะผิดปกติ ซูบซีดมัวหมองลงไป แต่ถ้ากายมีทุกข์ จิตใจก็เศร้าสร้อยลงไป เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ อย่างนี้ เราจะต้องทำนุบำรุงหรือปรนนิบัติ โดยนโยบายเท่าๆ กัน ไม่มีอะไรจะยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ว่าเป็นไปด้วยความพอเหมาะพอดี ซึ่งเรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" อ่านต่อ...