ถักจิตทอใจด้วยใยธรรม
ตอน ๔

ยึดถูกเห็นทิศ ยึดผิดหลงทาง

แม้ว่าผู้ภาวนาอาจสร้างนิมิตเป็นดวงอะไรก็ตาม หรืออาจเห็นภาพนิมิตต่างๆ ก็ตาม หรือสามารถทำจิตให้บันดาลให้เกิดภูมิความรู้อะไรได้มากมายก่ายกองสักเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงสภาวธรรม เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเท่านั้น

ถ้าใครไปยึดเอาความรู้ความเห็น ความเป็นเช่นนั้น เป็นสาระแก่นสารในการปฏิบัติ ไม่ยึดเอาตัว “สติ” ที่มีความมั่นคง ซึ่งสามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ภายในจิต ทั้งภายนอกภายในได้ ก็ยังชื่อว่าจับหลักการปฏิบัติไม่ได้แน่นอน

หมดเมื่อไร ได้เมื่อนั้น

สมาธิ เกิดขึ้นได้เมื่อเราหมดความตั้งใจ
วิปัสสนาจะเกิดได้เมื่อเราหมดความคิด

สมาธิปัญญา

การรู้กายรู้จิต รู้ด้วยความตั้งใจกำหนดรู้ เรียกว่ารู้โดยสติปัญญาธรรมดา แต่ถ้าจิตมีพลังงานเกิดจากสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ สามารถกำหนดรู้กายและจิตเอง เรียกว่ารู้เห็นโดยสมาธิปัญญา ความคิดอันใดที่มีสติรู้ทันทุกขณะจิต แล้วจิตก็คิดขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ มีสติรู้พร้อมทุกขณะจิต ความคิดอันนั้นเป็นสมาธิปัญญา ปัญญา ตามสัญญาหรือความทรงจำ เป็นอุปกรณ์ให้เกิดสติปัญญาในขั้นสมาธิภาวนา เป็นสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกัน

เหนือสมมติบัญญัติ

ของจริงที่ปรากฏขึ้นกับจิตของผู้ภาวนานั้น ต้องอยู่เหนือสมมติบัญญัติเสมอ ถ้าสิ่งใดยังมีสมมติบัญญัติอยู่ สิ่งนั้นยังไม่ใช่ความจริง ยังไม่ใช่สัจจธรรม

สัจจบารมี

การนอนเป็นเวลา การตื่นเป็นเวลา การรับประทานเป็นเวลา... ทำอะไรให้ตรงต่อเวลา ก็ให้มีสัจจะไว้ในใจว่า เราจะทำอะไรให้มันจริงใจสักอย่างหนึ่ง ให้เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ นี่คือแผนการสร้างพลังจิตพลังใจ การทำอะไรเป็นเวลาตรงไปตรงมา เป็นการสร้างสัจจบารมี ถ้าใครมีสัจจะความจริงใจ มีสัจจบารมี ใกล้ต่อการตรัสรู้ ถ้าขาดสัจจะความจริงใจแล้วยังห่างพระพุทธเจ้า ผิดรู้ว่าตัวผิด ถูกรู้ว่าตัวถูก ไม่โกหกใคร ผิดรับไปตามผิด ถูกรับไปตามถูก นั่นเป็นการสร้างสัจจบารมี เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายก็ควรจะได้ฝึกตัวเองให้มีสัจจบารมีบ้าง

สร้างบารมีธรรม

หน้าที่ของผู้ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือพยายามละความชั่ว เริ่มต้นตั้งแต่ตั้งใจละโดยเจตนา ฝึกฝนจนกระทั่งเป็นนิสัยที่เคยชินต่อการละ นิสัยที่เคยชินเพิ่มพลังงานขึ้น กลายเป็นอุปนิสัยวาสนาบารมี สิ่งที่เป็นอุปนิสัย คือสิ่งที่เป็นเองโดยอัตโนมัติ ที่เราฝึกหัดเสียจนคล่องตัว จนเป็นอุปนิสัยฝังแน่นอยู่ในสันดาน สิ่งที่เป็นอุปนิสัยที่สะสมอบรมบ่มเอาให้มากๆ เมื่อเพิ่มพูนขึ้น หนักแน่นลงไปเป็นวาสนาบารมี ในเมื่อถึงขั้นแห่งอุปนิสัยวาสนาบารมี คุณงามความดีที่เราทำมาแล้ว ไม่ต้องนึกก็ได้ นึกถึงก็ได้ มันมีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา