การบำเพ็ญศีล ตอน ๔

วิธีแก้ทุกข์

เมื่อเราตั้งเจตนาที่จะละเว้นความชั่วทางกาย ทางวาจา อยู่ทุกวันทุกเวลาทุกนาที ทุกอิริยาบถทั้งสี่ดังกล่าวมาแล้ว จิตใจของเราก็ย่อมเบิกบานผ่องแผ้วทุกเวลา เพราะไม่มีอกุศลอันใดจะบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำใจให้เศร้าหมองได้ ธรรมดาจิตใจนี้ถ้าหากไม่มีอกุศลครอบงำหรือบังเกิดขึ้นแล้ว มันจะผ่องใสเบิกบานตามธรรมชาติของมัน เหมือนอย่างทองคำธรรมชาติ ถ้าหากไม่มีสิ่งอื่นมาหุ้มห่อ เมื่อไล่สนิมออกแล้ว มันจะมีสีสดใสแวววาวอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้น ไม่ต้องไปย้อมไปทาไปตกแต่งอะไรอีก มันมีสีสันวรรณะของมันเองตามธรรมชาติ แต่ถ้าเอาไปทิ้งไว้ในที่ทั่วๆ ไปมันก็จะขึ้นสนิม สีสันวรรณะธรรมชาติของทองคำก็หายไป ก็ไม่ส่องแสงออกมา ไม่สดใส อุปมาเหมือนอย่างจิตใจของคนเรานี่แหละ เมื่อเราปล่อยให้ราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำย่ำยีแล้ว จิตใจก็จะเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส คนเรานี้เมื่อจิตใจเศร้าหมองแล้วย่อมเป็นทุกข์ อย่าไปเข้าใจว่ามีความสุข ไม่มีความสุขแน่นอน จะมีเงินแสนเงินล้านก็ตาม ถ้าหากจิตใจเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสต่างๆ ดังกล่าว หามีความสุขไม่ เพราะฉะนั้น นักธุรกิจทั้งหลาย นักเงินล้านทั้งหลาย เกิดยุ่งๆ จิตใจมัวหมองขึ้นมาแล้ว แทนที่จะไปหาแสวงหาศีลธรรมใส่ใจของตน กลับไปหาความสุขในสถานเริงรมย์ต่างๆ ไปเต้นรำ ขับร้อง อาบอบนวด เพื่อแก้ทุกข์ บรรเทาความเศร้าหมองขุ่นมัวของจิตใจ มันก็เป็นไปได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อออกจากสถานที่เหล่านั้นไปแล้วมันก็ของเก่านั้นเอง เมื่อตัวเก่ามัวหมองขุ่นมัวอยู่นั้น เรียกว่าแก้ไม่ตก บางรายก็ถึงกับถูกเขาทำร้ายร่างกายจนถึงกับเสียชีวิตไป เพราะไปหาแก้ทุกข์ไม่ถูกจุดมันดังว่านั่นเอง ฉะนั้น การที่เราหมุนตัวเข้ามาสู่พระพุทธศาสนานี้ ได้ชื่อว่าเราเข้ามาแก้ทุกข์ มาชำระชีวิตจิตใจให้ความเศร้าหมองคลายหาย เป็นจิตใจที่ผ่องใสสะอาด แล้วเราก็จะมีความสุขความเจริญ มนุษย์เราจึงต้องสำรวมกายใจปฏิบัติตั้งอยู่ในธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษใดๆ ก็มีอานิสงส์ติดตัวไปดังกล่าวมาแล้ว แล้วก็ยังเป็นนิสัยปัจจัยให้บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานแน่นอน เพราะว่าผู้เข้ามาบวชแล้วตั้งใจปฏิบัติตามธรรมวินัยจริงๆ ทำให้กิเลสตัณหานั้นเบาบางลงไป ธรรมดาผู้ที่จะบรรลุถึงพระนิพพานก็ต้องละเว้นกิเลสตัณหาไปโดยลำดับ เมื่อละกิเลสหมดสิ้นเวลาใดก็ได้บรรลุถึงพระนิพพานเวลานั้น ดังนั้นการที่เราบวชนี้ก็เป็นผลดีต่อตัวเราเอง อย่าได้นึกว่ามาบวชให้พ่อให้แม่หรือบวชให้ญาติ คนส่วนมากก็มักจะเข้าใจไปอย่างว่านี่แหละ บางคนก็พ่อแม่อ้อนวอนให้มาบวชให้ ตนเองไม่มีศรัทธาเท่าใดหรอก แต่ทนต่อคำอ้อนวอนของพ่อแม่ไม่ได้ก็มาบวชเช่นพูดว่า “เอา ถ้าอย่างนั้นผมก็จะบวชให้สักพรรษาหนึ่ง” ผู้ที่ตั้งใจเพียงแค่นี้ บวชเข้ามาแล้วก็จะไม่ค่อยฝึกฝนอบรมตนอะไร มาอยู่เรื่อยๆ เปื่อยๆ ไปอย่างนั้นพอให้แล้ววันแล้วคืนไป คอยแต่เมื่อถึงออกพรรษาปวารณาแล้วก็จะสึกไป คือบวชให้พ่อแม่เฉยๆ ความรู้สึกบางคนเป็นอย่างนั้น ถ้าเห็นเพียงแค่นั้นแล้ว การบวชนี่ย่อมจะไม่มีอานิสงส์มากเลย มีก็นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ต้องแน่ใจว่าเรามาบวชนี่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่นมาบวชเพื่อฝึกฝนอบรมตน เพราะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตนของตนนั้นมีกิเลสตัณหาครอบงำจิตใจอยู่มากมาย กิเลสนี่แหละมันทำให้คนเราเสียคน ไม่ใช่ว่ากิเลสนี้จะทำให้คนดีได้เมื่อไรถ้าใครสะสมมันไว้ ให้นึกว่ากิเลสนี่เป็นศัตรู ที่ผ่านมานานแสนนานตั้งแต่ท่องเที่ยวมาในวัฏสงสารนี้ ก็มีกิเลสนี่เองแหละเป็นศัตรูชักจูงจิตใจให้ทำความชั่วต่างๆ ตายแล้วก็ไปตกนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานบ้าง อย่างนี้ก็มีอยู่ แต่ว่าเราไม่สามารถจะระลึกชาติหนหลังได้เหมือนอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงดูเหมือนว่าเราไม่ได้ไปตกนรก ไม่ได้ไปทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ไหน คนเราระลึกไม่ได้อย่างนี้แหละ แม้ว่าพระท่านจะแสดงให้ฟังว่านรกมีจริงก็ไม่ค่อยจะเชื่อ เพราะตนระลึกไม่ได้เลยว่าในชาติก่อนตนได้ไปตกนรกได้ทนทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง ดังนั้น คนส่วนมากจึงไม่ค่อยเชื่อ

การที่ไม่เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้มีโทษอย่างร้ายแรงมากทีเดียว ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็คนที่ทำบาปหนาสาโทษต่างๆ อยู่นั้น สิ่งใดที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นโทษ เมื่อทุกข์เมื่อโทษแล้วก็จะพยายามเว้นเลย เพราะว่าเชื่อนี่ พระองค์ทรงเห็นแจ้งแล้วเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว ถ้าบุคคลทำกรรมชั่วอย่างนั้นๆ จะเป็นอย่างนั้น จะต้องไปตกนรกบ้าง จะไปเกิดเป็นเปรตบ้าง เกิดเป็นอสุรกายบ้าง เกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานบ้าง พระองค์รู้แจ้งแทงตลอดหมด ดังนั้นจึงได้นำมาแสดงให้พุทธบริษัททั้งหลายฟัง ส่วนว่าใครไม่เชื่อคำสอนของพระองค์ ก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ได้ เพราะไม่เชื่อจะปฏิบัติตามได้อย่างไร เพราะฉะนั้น คนที่ประกาศตนว่านับถือพระพุทธศาสนานี่ก็เกือบจะทั้งเมืองไทย แต่หาได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ไม่ ปฏิบัติตามนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น สิ่งใดที่คิดว่าตนเองชอบใจจึงปฏิบัติตามได้ สิ่งใดตนเองไม่ชอบก็ละเว้นไม่ปฏิบัติตาม ดังจะยกตัวอย่างให้ฟัง การบำเพ็ญตนเป็นนักเลงเจ้าชู้ การบำเพ็ญตนเป็นนักเลงดื่มของมึนเมาทุกชนิด บำเพ็ญตนให้เป็นนักเลงการพนัน การไปคบหาสมาคมคบคนชั่วเป็นมิตร เหล่านี้พระศาสดาตรัสว่าเป็นหนทางแห่งความเสื่อมในปัจจุบันนี่เอง ไม่ต้องถึงชาติหน้า แต่ถึงกระนั้นคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ก็มีเป็นจำนวนมาก ที่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่ในพุทธศาสนา แต่ยังบำเพ็ญตนเป็นนักเลง ๔ ประเภทนั้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็มีอยู่ เป็นอย่างนี้อ่านต่อ...